วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การออกกำลังกายและบริหารร่างกายสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ช่วยให้คนทำงานได้เร็วและมากขึ้น เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงใช้พลังงานเพียงน้อยนิดแต่ได้ผลงานออกมา มาก การเคลื่อนนิ้วไปมาระหว่างแป้นพิมพ์หรือการใช้เมาส์ การเคลื่อนของศีรษะ ไปมาขณะทำงานใช้พลังงานน้อยมาก แต่ในแง่ของระบบร่างกายนั้น มนุษย์ต้องมีการเคลื่อนไหวไม่ใช่อยู่นิ่งเหมือนขณะใช้คอมพิวเตอร์ ยิ่งถ้ามีความเครียดมาประกอบกับงานที่ทำแล้ว อาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องอยู่นิ่งเกือบตลอดทั้งวันจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

อาการปวดที่พบบ่อย
อาการ ที่พบบ่อยในคนทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ คืออาการปวดต้นคอ บ่า ศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือ บางคนอาจมีปวดหลังร่วมด้วย สาเหตุที่เกิดขึ้นคือคนทำงานจะพยายามให้ศีรษะอยู่นิ่ง เพื่อช่วยในการมองเห็นจอ แป้นพิมพ์ และต้นฉบับ การทำเช่นนี้แม้จะไม่ใช่งานที่หนักของกล้ามเนื้อบริเวณคอและเอ็นของข้อ กระดูกสันหลัง แต่เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบคงที่ มีผลทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อที่คอและบ่าลดลง ส่วนของเอ็นที่อยู่ด้านหลังของคอจะถูกยืดทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นน้อย ลง ดังนั้นการก้มคออยู่เป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนมุมหรือเปลี่ยนน้อยมากย่อมทำ ให้เกิดอาการปวดของกล้ามเนื้อบ่า และด้านหลังคอ บางท่านอาจมีอาการปวดศีรษะ ยิ่งถ้าเครียดอาการเหล่านี้จะมากขึ้น
การป้องกันอาการปวดด้วยการจัดสภาพงานการ ป้องกันไม่ให้เกิดอาการเหล่านี้ทำได้ไม่ยาก ด้วยการจัดสถานที่ทำงานให้เหมาะสม เช่น ความสูงของขอบจอด้านบนควรอยู่ในระดับสายตา การวางต้นฉบับอยู่ตรงหน้าไม่วางอยู่ด้านข้าง เพื่อลดการเอียงหรือก้มคอที่มากเกินไป การพักการทำงานทุก ๑ ชั่วโมง เหล่านี้เป็นการจัดการทางกายศาสตร์ หรือการจัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสมกับตัวคนทำงาน เมื่อจัดสภาพงานให้เหมาะสมแล้ว การออกกำลังกายที่นำเสนอนี้จะมีส่วนส่งเสริมป้องกันไม่ให้มีอาการปวดที่ได้ อย่าลืมว่าการออกกำลังกายมีส่วนช่วยแต่เพียงบางส่วน ถ้าคอของท่านยังก้มมากเกินไป เอียงคอตลอดการทำงานและไม่หยุดพักเมื่อปวด ไม่ว่าจะออกกำลังกายอย่างไร ท่านมีโอกาสปวดคอ บ่า ศอก นิ้ว ได้มากกว่าคนทำงานที่จัดสภาพงานที่เหมาะสมกับตัวเอง
การพักและการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
ควร พักเมื่อเริ่มรู้สึกปวดหรือเมื่อยบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย หรือถ้าไม่มีอาการปวดเลยควรพักทุก ๑ ชั่วโมง ขณะพักควรทำการออกกำลัง ในท่าที่นำเสนอมานี้ ไม่จำเป็นต้องทำครบทุกท่าในแต่ละช่วงการพัก เพียงแต่ทำให้ครบทุกท่าใน ๑ วัน บางท่านที่มีอาการปวดเมื่อย คอ บ่า ให้เน้นทำในท่าที่ ๑-๓ ข้อมือและศอก ใช้ท่าที่ ๔ นิ้วมือให้ใช้ท่าที่ ๕-๗ เป็นต้น สำหรับท่านที่มีอาการปวดเมื่อยหลัง ลองเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการยืนแอ่นหลัง ๕ วินาที ๒-๓ ครั้ง



คน ทำงานคอมพิวเตอร์นั่งนาน มีกิจกรรมทางกายน้อยมีอัตราเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันเลือดสูง เบาหวานและมะเร็งสูง ต้องพยายามเพิ่มกิจกรรมทางกายให้มากขึ้นในการทำงาน เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ จอดรถห่างที่ทำงานและเดินเร็วไปทำงาน การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยปานกลาง ถึงหนักอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย ๒๐ นาที ๓ ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นสิ่งที่จำเป็นในคนทำงานคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าท่านอายุเกิน ๔๐ ปี ไม่เคยออกกำลังแบบแอโรบิกมาก่อน หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่าน
อย่าลืมว่า คนทำงานคอมพิวเตอร์ต้องปรับสภาพการทำงานให้เหมาะกับตัว ออกกำลังกาย เมื่อยหรือเครียดนักพักเสียหน่อย เท่านี้ท่านจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปราศจากอาการปวดเมื่อยจากงานคอมพิวเตอร์

ที่มาของข้อมูล  http://www.doctor.or.th/article/detail/1334

อาหารที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์

นอกจาก เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีประโยชน์แล้ว ในทางตรงกันข้ามก็มีโทษต่อสุขภาพอย่างร้ายกาจเช่นกัน การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำให้ระบบประสาทเสื่อมและเกิดโรคเครียด ภาพและตัวอักษรที่เคลื่อนไหวอยู่หน้าจอนั้น มีโทษต่อสายตา และการใช้เครื่องอาจทำให้ปวดเอวและหัวไหล่ได้อีกด้วย
ถึง แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะมีโทษอย่างไร เราก็ต้องใช้มันต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จึงเสนอว่าผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ ควรใส่ใจกับการกินอาหารที่บำรุงสุขภาพให้แข็งแรง และป้องกันโรคต่างๆ ได้เช่น
+ อาหารกลางวัน ควรเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เช่น เนื้อ นม ไข่ ปลา และถั่ว
+ อาหารเย็น ควรเป็นอาหารเบา และรสจืด ซึ่งกินผักเหมาะที่สุด
นอกจากนี้ ยังควรกินอาหารบำรุงสมองและประสาทตา ได้แก่ ปลา กุ้ง ไข่ จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง
ส่วนอาหารที่บำรุงประสาทตา ได้แก่ ผักบุ้ง ฟักทอง ตับ ไข่ นม ผัก มะเขือเทศ นอกจากการรับประทานอาหารบำรุงร่างกายแล้ว
 สิ่งที่เราควรทำอีกอย่างหนึ่งคือ ... หลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ และควรดื่มน้ำมากๆ เมื่อเป็นสาวไอทีเต็มรูปแบบก็ควรดูแลตัวเองด้วยนะ

 
ที่มาของภาพ  http://www.student.chula.ac.th/~53373133/eyesfood.html

ที่มาของข้อมูล  http://learning.eduzones.com/offy/4934

การดูแลสุขภาพดวงตา กับการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

5 เทคนิคดูแลสุขภาพดวงตากับคอมพิวเตอร์

ชีวิตที่รีบเร่งอาจทำให้เพื่อนๆ ต้องทำงานต่อเนื่องให้เสร็จเร็วๆ
การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานนน ต้องใช้สายตามาก
ไม่ใช่แค่ทำงานนะคะ เล่นเกมส์หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอทีวีก็เช่นกัน …
กิจกรรมดังที่บอกมาแล้ว ส่งผลเสียต่อสุขภาพของดวงตาค่ะ
หากหลีกเลี่ยงการจ้องมองหน้าจอนานๆ ไม่ได้ วิธีป้องกันก็พอมี
ง่ายๆ แค่ 5 เทคนิคเพื่อดูแลสุขภาพดวงตาของเพื่อนๆ ดังนี้ค่ะ
ข้อ 1. ทุก 1 ชั่วโมงของการทำงานหน้าจอ ควรพักสายตาด้วยการทำอะไรก็ได้
ที่..ไม่ต้องมองใกล้ๆ ในระยะ 1-2 ฟุต (เช่น มองออกไปในสนามหญ้า) พยามยามมองสีเขียวของใบไม้ใบหญ้า
ประมาณ 5-10 นาที จะลดการเพ่งของสายตา และช่วยคลายอาการปวดเมื่อยล้าดวงตาได้
ข้อ 2. ไม่ควรมีแสงสว่างมากที่ด้านหลังจอ เพราะจะรบกวนการมองจอ
เช่นไม่ควรตั้งจอตรงกับหน้าต่าง (ด้วยเหตุนี้เน็ตบุคสีขาวของบางยี่ห้อจึงมีกรอบจอสีดำ)
ข้อ 3. ศีรษะควรอยู่สูงกว่าจอสักเล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองคอมพิวเตอร์
หรือเหลือกตามองสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้เมื่อยล้าได้ง่าย และเพื่อนๆ คงไม่อยาก
ให้ใครมองมาเห็นว่านั่งตาเหลือกอยู่หน้าจอนะคะ มันดูไม่เท่หรอกค่ะ
ข้อ 4. อาการปวดล้าดวงตา อาจเกิดจากการที่เพื่อนๆ มีปัญหาสายตา
เช่น สายตาเอียง สายตาสั้น และสายตายาว ให้ไปตรวจวัดสายตาดู
หากพบว่าสายตาผิดปกติ ให้ตัดแว่นมาใส่จะช่วยแก้ปัญหาได้
ข้อ 5. ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบตา หรือเคืองตา ให้กะพริบบ่อยขึ้น
เพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ
ถ้ายังมีอาการมาก ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้
แต่ถ้าไม่ดีขึ้น เพื่อนๆ อาจจะเป็นโรคอื่นให้ไปพบจักษุแพทย์
เพื่อทำการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ นะคะ
ดวงตาของพวกเรามีคู่เดียวงอกใหม่ไม่ได้ พึงรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานกับตัวเราไปนานๆ นะคะ
ด้วยความปรารถนาดี เคยได้ยินเพลงตอนเด็ก “หูไม่หนวก ตาไม่บอด นับว่ายอด ของคนเรา”
ดูแลสุขภาพตา
ที่มาของภาพ http://www.tipsiam.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B8%95%E0%B8%B2
ที่มาของข้อมูล  : www.doctor.or.th


 

ภัยเทคโนโลยีต่อสุขภาพ

ผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง
          ดวงตา  
ดวง ตา กล้ามเนื้อและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการเมื่อยตา สายตาเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะ  คลื่นไส้ เป็นต้น โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดของ  โรคนี้คือ ปวดตา  เมื่อยตา ตาแห้ง ถ้าอาการเป็นมากยังอาจก่อให้เกิดปัญหาสายตาเสื่อมลงด้วย  เนื่องจากขณะใช้คอมพิวเตอร์ดวงตาต้องจ้องมองหน้าจอที่มีตัวหนังสือหรือ ภาพกระพริบตลอดเวลา ทำให้กลไกตามธรรมชาติของการกระพริบตาลดน้อยลงจนเราไม่สังเกต เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตาแห้ง และหากดวงตาอยู่ในสภาพที่เหน็ดเหนื่อยหรือตาแห้ง ก็จะทำให้สายตาเสื่อมลง  ทาง American Optometric Association (AOA) มีการให้คำจำกัดความของโรคหรือภัยที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผลที่เกิดกับดวงตาและการมองเห็นว่า คือโรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS โดยมีอาการคือ ปวดเบ้าตา, ปวดต้นคอ, มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา, มีภาวะตาแห้ง, รอยตาคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา สาเหตุหลักนอกจากการใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ แล้ว  ยังสามารถเกิดได้จากการได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลตทั้งจากรังสี UV ที่ออกมาจากจอคอมพิวเตอร์  หรือจากแสงแดดก็ได้

          ระบบประสาท จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของคอมพิวเตอร์ แม้ว่ารังสีชนิดต่างๆจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะมีความปลอดภัยก็ตาม แต่การรับการแผ่รังสีเป็นเวลานานก็อาจจะส่งผลกระทบถึงระบบประสาทของมนุษย์ ได้เช่นกัน จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้  อึดอัด และนอนไม่หลับ เป็นต้น
          เสี่ยงต่อการเป็นหมัน  ในวารสาร “Human Reproduction” มีรายงานที่เขียนโดย ดร.เยซิม เซย์คิน หัวหน้าทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยประจำนครนิวยอร์ก รายงานไว้ว่า คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือโน๊ตบุ๊ค ที่หลายคนชอบวางทำงานไว้บนหน้าตักนั้น จะทำให้อุณหภูมิที่ลูกอัณฑะสูงขึ้นซึ่งมีผลต่อการสร้างสเปิร์มของผู้ชายทุก คนและทุกวัย  ปกติแล้วลูกอัณฑะที่ใช้ผลิตเสปิร์มของผู้ชายนั้นเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณภูมิ เป็นอย่างมาก โดยอุณภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสก็จะลดจำนวนเสปิร์มที่แข็งแรงลงไปถึงร้อยละ 40   การวางโน๊ตบุ๊คบนตักหนึ่งชั่วโมงทำให้อุณภูมิลูกอัณฑะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.6 ถึง 2.8 องศาเซลเซียส
โรคที่เกิดจากท่านั่งหรือการทำงานซ้ำซาก          
           โรค Cumulative Trauma Disorders (ความผิดปกติจากอุบัติภัยสะสม) อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ อาการของโรคพวกนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
                    o ระยะแรกเป็นแล้วหายเมื่อได้พัก 
                    o ระยะสองคือ มีอาการต่อเนื่องถึงกลางคืน และหายเมื่อได้พัก 
                    o ระยะสามคือ เป็นตลอดเวลาไม่หายเมื่อได้พัก
การรักษาคือ ต้องปรับพฤติกรรมการทำงานของตนเองหรือถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ และควรเล่าประวัติการทำงานเพื่อให้แพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริง  แพทย์จึงจะรักษาเฉพาะที่ได้ 

          อาการ Repetitive Strain Injury หรือ RSI ซึ่งสามารถเป็นได้กับทุกส่วนของร่างกายจากการนั่งทำงานหน้าเครื่อง คอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกสุขลักษณะตั้งแต่แขน  ข้อมือ  ข้อนิ้ว  แผ่นหลัง  ต้นคอ  หัวไหล่ และสายตา  เนื่องจากอวัยวะส่วนที่มีปัญหาถูกวางค้าง ถูกทิ้งน้ำหนัก หรือกดทับนานๆ จนอักเสบ  หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็น

 กลุ่มอาการปวดข้อ(Carpal Tunnel Syndrome: CTS)  เป็นกลุ่มอาการของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอาการของโรคกระดูกข้อมือเจ็บปวด ข้อกระดูกนิ้วมือเสื่อม และชา
สาเหตุ  เกิดจากการกดแป้นพิมพ์ และการใช้เมาส์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การจับเมาส์โดยมีข้อมือเป็นจุดหมุน อาจเกิดพังผืดบริเวณข้อมือ หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการชา จนไม่สามารถหยิบของได้
  
          การรักษา  หากเริ่มมีอาการอาจต้องรับประทานยาแก้ปวดและหยุดการเคลื่อนไหวโดยการพักข้อ มือ อาการก็อาจทุเลาลงได้ อาการปวดจะหายไปในที่สุด หากปวดบวม ให้รับประทานยาระงับปวดและอาจต้องสวมอุปกรณ์ประคองมือ เพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อมือ หรือฉีดยากลุ่มสเตียรอยด์เข้าบริเวณข้อมือ เพื่อลดการอักเสบโดยตรง ส่วนในรายที่เป็นมานานอาจจำเป็นต้องผ่าตัดจึงจะได้ผลดี โรคที่เกิดจากเชื้อโรคที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์
          โรคภูมิแพ้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอก โฮล์ม ในสวีเดนพบว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ สารนี้มีชื่อว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอและคอมพิวเตอร์  สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวดศีรษะ ผลวิจัยพบว่า เมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา โดยเฉพาะหากสภาพภายในห้องทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด เครื่องคอมพิวเตอร์อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น อากาศที่ดีจึงจำเป็นอย่างยิ่ง


Qwerty Tummy (โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ด) ซึ่งอาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย สาเหตุเกิดจากอาหารเป็นพิษ โดยผู้ใช้รับ-ประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานย์บอร์ด   ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อ แบคทีเรีย ด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ อย่างน้อยเดือนละครั้งเสมอ 
 
 

         
โรคที่เกิดจากการใช้งาน           โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้กลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้  จึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะงานและพยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง

          เมื่อทราบดังนี้แล้วสำหรับผู้ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นแค่ไหนก็แล้วแต่  คงต้องสอดแทรกการบริหารร่างกายเข้าไปด้วย  บิดซ้ายนิด ขวาหน่อย  ยืดเส้นยืดสาย จะได้ยืดอายุสุขภาพดีของเราต่อไป

ที่มาของข้อมูล  http://www.thaiitwatch.org/autopagev4/show_page.php?topic_id=1404&auto_id=11&TopicPk

ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรจึงจะปลอดภัย





ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรจึงจะปลอดภัย
          ผู้มีอาชีพที่จะต้องนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มักจะเกิดปัญหากับสุขภาพหลายอย่าง ทั้งสายตา ปวดคอ ปวดหลัง

          ปัญหาทางสายตาเป็นเรื่องใหญ่  ใครที่นั่งจ้องจอคอมฯ นานกว่า 3 ช.ม. ติดต่อกัน จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า สายตาจะพร่า อาจปวดกระบอกตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล 

วิธีแก้ปัญหา

           1. ควรตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างอย่างน้อย 2 ฟุต ในระดับสายตาตรงหน้าพอดี 

           2. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำ รู้ได้โดยเวลาดับเครื่องไฟฟ้าสถิตจะมีน้อย ถ้ามีมากเอามือไปอังใกล้ ๆ หน้าจอ ขนจะลุก

           3. ปรับแสงให้พอรู้สึกสบายตา อาจใช้แผ่นกรองแสงสวมหน้าจอจะช่วยได้ ไฟแสงสว่างด้านหลังอาจทำให้เกิดภาพสะท้อนที่จอทำให้สายตาเสียได้ 

           4. ทำความสะอาดจอภาพของคอมพิวเตอร์เสมอ

           5. ควรพักสายตาบ้าง ไม่ควรทำคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน 1-2 ช.ม. ควรพักสายตาสัก 15 นาที หรืออาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหมาด ๆ ปิดตาไว้ 2-3 นาที จะช่วยได้มาก

           6. พวกใช้คอนแทคเลนส์ ควรหยอดน้ำตาเทียมบ่อย ๆ





ปัญหาปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ แก้ไขโดย

           1. ตั้งจอตรงหน้าพอดีไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่เอียงซ้าย หรือขวา

           2. คีย์บอร์ดและเม้าส์ควรอยู่ระดับเอวหรือระดับหน้าตักพอดี เพราะถ้าอยู่สูงกว่านี้เวลาใช้คีย์บอร์ดและเม้าส์นาน ๆ ไหล่จะค่อย ๆ ยกสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อให้แขนและมือจะได้ทำงานถนัด แต่การยกไหล่ขึ้นนาน ๆ กล้ามเนื้อที่ยกไหล่จะล้า ปวดเมื่อยได้ ปวดตั้งแต่ไหล่ บ่า ถึงคอ

           3. ต้องพักการทำคอมพิวเตอร์ ทุก 1-2 ช.ม.


ปัญหาปวดหลัง แก้ไขโดย

           1. ขณะนั่งทำคอมพิวเตอร์ควรนั่งเก้าอี้ที่สูงพอดี เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า ถ้าสูงเกินไปจนเท้าลอย หรือถ้าต่ำเกินไป ก้นจะจ่อมอยู่บนที่นั่ง ทำให้เมื่อยบริเวณก้นได้ 

           2. เวลานั่งต้องเลื่อนตัวให้นั่งชิดพนักพิง ไม่ใช่นั่งอยู่แค่ครึ่งที่นั่งของเก้าอี้ 

           3. หลังจะต้องพิงพนักเก้าอี้อยู่ตลอดเวลา โดยพนักพิงทำมุมกับที่นั่ง ไม่เกิน 100 องศา

           4. ต้องพักการทำคอมพิวเตอร์ ทุก 1-2 ช.ม.


ที่มาของข้อมูล   http://health.kapook.com/view30686.html

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตและSocial Network

"คุณมีความเข้าใจด้านความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ตดีแล้วหรือยัง ?"

ทุกวันนี้เราไม่เพียงแต่ใช้อินเตอร์เน็ตในการรับส่งอีเมล์เท่านั้น แต่ยังใช้ซื้อของ ชำระสินค้า โอนเงินผ่านธนาคารออนไลน์ และอื่นๆ ดูเหมือนว่าประตูที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตนั้นจะพาเราท่องไปทุกแห่งในโลกได้ แต่อย่าลืมว่าประตูบานเดียวกันนี้ก็นำโลกทั้งโลกมาหาคุณโดยไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน

เรื่องต่อไปนี้จะช่วยให้คุณได้รู้ว่าที่ผ่านๆ มานั้นคุณเข้าใจและตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ดีแค่ไหน แล้วคุณจะประหลาดใจว่าคุณอาจจะเข้าใจอะไรผิดๆ ในบางเรื่องมาโดยตลอด

1. ฉันติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเรียบร้อยแล้ว
คุณคิดถูกแล้ว....คุณต้องการระบบที่คอยป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ แต่แค่มีซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นคุณจึงต้องหมั่นอัปเดตรายชื่อไวรัสใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ 

อีกประการหนึ่งแฮกเกอร์ก็ถือว่าเป็นภัยคุกคามเช่นเดียวกัน และพวกซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามต่างๆ ที่แฮกเกอร์วางแผนจู่โจมได้ ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องการนอกเหนือจากซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสก็คือระบบไฟล์วอลล์ที่จะคอยหยุดยั้งไม่ให้แฮกเกอร์เจาะเข้าระบบเพื่อขโมยข้อมูลต่างๆ ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ 

2. เครื่องคอมพิวเตอร์ของฉันไม่มีข้อมูลอะไรน่าสนใจสำหรับแฮกเกอร์หรอก
ทุกคนเชื่ออย่างนั้นแต่หารู้ไม่ว่าแฮกเกอร์จ้องจะขโมยข้อมูลบางอย่างที่คุณคิดว่าไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น เลขประจำตัวบนบัตรประชาชน บัตรประกันสังคม หมายเลขบัญชีธนาคาร รหัสผู้ใช้ และรหัสผ่าน สิ่งเหล่านี้แฮกเกอร์สามารถนำไปใช้เพื่อซื้อของหรือทำธุรกรรมต่างๆ ในนามของคุณได้นั่นเอง คดีเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย และถึงแม้คุณคิดว่าไม่ได้เก็บข้อมูลเหล่านี้ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่รู้หรือไม่ว่าแค่คุณเก็บแฟ้มประวัติสำหรับใช้สมัครงาน คุณก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์ได้ เพราะมันจะนำข้อมูลเช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ บัตรประชาชนเพื่อนำไปสมัครบัตรเครดิตหรือกู้ยืมเงินได้ และนั่นหมายถึงความเดือดร้อนต่างๆ กำลังจะตามมาหาคุณในไม่ช้า

3. มีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้นแหละที่แฮกเกอร์ตั้งเป้าจู่โจม ผู้ใช้งานตามบ้านอย่างเราไม่ใช่เป้าหมายของแฮกเกอร์หรอก
หลายๆ คนมักคิดว่าฉันจะกังวลไปทำไม ในเมื่อฉันใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเล่นเกมกับส่งอีเมล์เท่านั้นคุณอาจจะลืมไปแล้วว่าแฮกเกอร์มักจ้องหาเหยื่อที่โจมตีได้ง่าย และการเจาะเข้าระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ตามบ้านนั้นก็ง่ายกว่าการเจาะเข้าระบบองค์กรที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณใช้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต เพราะเครื่องของคุณจะออนไลน์ตลอดเวลา ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณจึงเป็นเป้าหมายที่โจมตีได้ง่ายที่สุด และกว่าคุณจะรู้ตัว เครื่องของคุณก็อาจจะโดนแฮกไปเรียบร้อยแล้ว

4. การเป็นแฮกเกอร์ต้องมีความรู้เทคนิคสูงๆ
เป็นความเชื่อที่ผิดมาก ในทางตรงกันข้ามคุณเชื่อหรือไม่ว่าพวกแฮกเกอร์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านไอทีระดับอัจฉริยะเพื่อทำการเจาะเข้าระบบต่างๆ เลย เพราะเพียงแต่คุณค้นหาคำว่า “Hacking tools” ในเสิร์ชเอ็นจินต่างๆ คุณก็จะพบเครื่องมือและวิธีในการเจาะระบบที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง แถมบางเว็บไซด์ยังระบุวิธีการและขั้นตอนในการทำงานอย่างละเอียดมาให้เรียบร้อย

5. ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตที่ฉันใช้อยู่มีระบบป้องกันไวรัสและไฟล์วอลล์มาให้เรียบร้อย
โดยทั่วๆ ไปแล้วน้อยรายนักที่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะให้บริการติดตั้งระบบป้องกันไวรัสที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ผู้ใช้บริการเข้าใจ ถ้าไม่แน่ใจคุณอาจจะตรวจสอบกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของคุณ และถึงแม้ว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะมีระบบป้องกันที่ดีแล้วก็ตาม คุณก็ยังจะต้องติดตั้งระบบป้องกันไวรัสไว้บนเครื่องของคุณอยู่ดี คุณอาจจะตั้งคำถามว่าทำไม ก็เพราะว่าเมื่อคุณเริ่มทำการออนไลน์ คุณมีความเสี่ยงที่จะดาวน์โหลดไวรัสลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ตั้งใจ 

6. ฉันไม่ได้ใช้บริการบรอดแบนด์ แต่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตโดย dial-up จึงไม่ต้องกังวลว่าจะตกเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์
เป็นความจริงที่ว่าผู้ใช้บริการบรอดแบนด์จะมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะ IP Address จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เมื่อแฮกเกอร์รู้ มันจะเจาะเข้ามาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับว่ามันรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ในขณะที่การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตโดยการ dial-up นั้น IP Address จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามแฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าไปในระบบของคุณได้ มันจะทำการฝังโปรแกรม Trojan ซึ่งจะทำการส่งสัญญาณกลับไปยังระบบของแฮกเกอร์ เมื่อใดก็ตามที่คุณทำการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต ดังนั้นถ้าระบบของคุณมีโปรแกรมตัวนี้ฝังอยู่ล่ะก็ไม่ว่าจะใช้บริการอินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบนด์หรือ dial-up ก็ไม่แตกต่างกัน

7. หายห่วงฉันใช้เครื่องแมคอินทอช ไม่ใช่วินโดวส์
ผู้ใช้แมคอินทอชทั้งหลายมักรู้สึกปลอดภัย เพราะเจ้าไวรัสเกือบทุกประเภทถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเป้าโจมตีไปที่ระบบแพลตฟอร์มวินโดวส์เป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับแฮกเกอร์แล้ว นี่ไม่ใช่ประเด็นเลย คอมพิวเตอร์ก็คือคอมพิวเตอร์เพราะมันไม่แคร์ว่าคุณจะอยู่บนแพลตฟอร์มใด

ปัจจุบันเครื่องมือในการเจาะเข้าสู่ระบบแมคอินทอชก็หาดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตได้ไม่ยากนัก แถมยังใช้ง่ายอีกต่างหาก ยิ่งกว่านั้นระบบปฏิบัติการใหม่ของเครื่องแมคอินทอชอย่าง OS X ก็เป็นระบบ Unix based ซึ่งทำให้เครื่องมือที่แฮกเกอร์ใช้เจาะเข้าสู่ระบบ Unix มาช้านาน สามารถใช้ได้กับเครื่องแมคอินทอชเช่นเดียวกัน

เป็นอย่างไรบ้างครับ คราวนี้คุณจะได้แน่ใจจริงๆ เสียทีว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นปลอดภัยจริงๆ อย่างที่คุณเข้าใจมาโดยตลอดหรือไม่ ถ้าไม่คุณจะได้รีบหาซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและระบบไฟล์วอลล์ที่สมบูรณ์มาติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ทันท่วงที และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสำนึก และตระหนักด้านความปลอดภัยข้อมูลของเรา โดยต้องหมั่นสังเกต และตรวจสอบสิ่งผิดปกติโดยสม่ำเสมอ 

สปายแวร์คอมพิวเตอร์ (Spyware)

สปายแวร์ (Spyware) คือมัลแวร์ชนิดหนึ่งที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วทำให้ล่วงรู้ข้อมูลของผู้ใช้งานได้โดยเจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว สามารถเฝ้าดูการใช้งานและรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ได้ เช่น นิสัยการท่องเน็ต และเว็บไซต์ที่เข้าชม ทั้งยังสามารถเปลี่ยนค่าที่ตั้งไว้ของคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตช้าลง เป็นต้น สายแวร์ที่มีชื่อคุ้นเคยกันดีคือโปรแกรม Keylogger ซึ่งตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ตที่แฝงโปรแกรมนี้ จะทำให้โปรแกรมเข้าฝังตัวในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทำธุรกรรมการเงินทางอินเทอร์เน็ต ข้อมูล username และ password ของบัญชีผู้ใช้จึงถูกส่งตรงถึงมิจฉาชีพ และลักลอบโอนเงินออกมาโดยเจ้าของตัวจริงไม่รู้ตัว เป็นต้น

ม้าโทรจันคอมพิวเตอร์ (Trojan)

ม้าโทรจัน (Trojan Horse) คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่ดูเหมือนมีประโยชน์ แต่แท้ที่จริงก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อรันโปรแกรม หรือติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ ผู้ที่ได้รับไฟล์โทรจันมักถูกหลอกลวงให้เปิดไฟล์ดังกล่าว โดยหลงคิดว่าเป็นซอฟต์แวร์ถูกกฎหมาย หรือไฟล์จากแหล่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อไฟล์ถูกเปิดอาจส่งผลลัพธ์หลายรูปแบบ เช่น สร้างความรำคาญด้วยการเปลี่ยนหน้าจอ สร้างไอคอนที่ไม่จำเป็น จนถึงขั้นลบไฟล์และทำลายข้อมูล โทรจันต่างจากไวรัสและเวิร์มคือโทรจันไม่สามารถสร้างสำเนาโดยแพร่กระจายสู่ไฟล์อื่น และไม่สามารถจำลองตัวเองได้

หนอนคอมพิวเตอร์ (Worm)

หนอนคอมพิวเตอร์จะสำเนาตัวเองและจะส่งผลต่อคอมพิวเตอร์โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว มี 3 ทางใหญ่ๆ ด้วยกันที่ทำให้หนอนคอมพิวเตอร์เข้ามาในคอมพิวเตอร์ของเราได้ ก็คือ
     1. ผ่านระบบอีเมล์ โดยจะมากับไฟล์ที่ติดมากับเมล์หรือข้อความที่อยู่ในจดหมาย เมื่อผู้ใช้เปิดจดหมายหรือไฟล์ ตัวหนอนนี้ก็จะติดตั้งตัวมันเองลงในระบบแบบเงียบ ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถทราบหรือรู้สึกได้เลยว่ามีหนอนเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะการติดตั้งของตัวหนอนนี้ไม่เหมือนกับการติดตั้งโปรแกรรมโดยทั่วไป คือ จะไม่มี Dialog box , setup wizard หรือ คำเตือนใดๆ ขึ้น
     2. จะแพร่กระจายเข้าคอมพิวเตอร์ที่อ่อนแอในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการกระจายเข้าในระบบปฏิบัติการและติดตั้งซอฟแวร์ที่ไม่มีความปลอดภัยลงในคอมพิวเตอร์ 
     3. ผ่านทางโปรแกรมสนทนาบนเว็บ ( instant messag ) หรือเข้ามาขณะมีการดาวน์โหลดไฟล์ที่ใช้ร่วมกันบนเครือข่าย หรือเครือข่ายที่ใช้ร่วมกันโดยไม่มีระบบการป้องกัน


วิธีการป้องกันคอมพิวเตอร์ไม่ให้ติดไวรัสและหนอนคอมพิวเตอร์
      1.  ติดตั้งซอฟท์แวร์ป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้ โดยซอฟท์แวร์ไวรัสนี้จะทำหน้าที่สแกนและตรวจจับโปรแกรมที่มีชื่อตรงกับฐานข้อมูลรายชื่อไวรัสที่ซอฟท์แวร์บรรจุอยู่ รวมถึงไฟล์แนบที่มากับอีเมล์ซึ่งดูไม่ปลอดภัย และเครื่องหมายเตือนภัยอื่นๆ ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการป้องกนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัยจากไวรัส
      2.  ไม่ควรเปิดไฟล์แนบโดยอัตโนมัติ หลีกเลี่ยงการตั้งค่าในโปรแกรมอีเมล์ให้ดาวน์โหลดไฟล์โดยอัโนมัติ เพื่อจะได้ตรวจสอบและสแกนไฟล์แนบให้เรียนร้อยก่อนการดาวน์โหลด
     3.  ห้ามเปิดอีเมล์ที่มีชื่อหัวข้อที่มีแรงจูงใจ  เช่น  ภาพเด็ด รหัสผ่าน เป็นต้น
     4.  ลบอีเมล์ที่ไม่แน่ใจทิ้งทันทีเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาหรือหลีกเลี่ยงการติดไวรัส  
     5.  ห้ามดาวน์โหลดโปรแกรมจากเว็บไซด์ และไม่ควรดาวน์โหลดไฟล์ที่ไม่มั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ รวมทั้งฟรีแวร์โปรแกรมรักษาจอภาพ เกมส์ และโปรแกรมที่มักจะลงท้ายด้วย.exe หรือ .com  อาทิเช่น coolgame.exe ถ้าจำเป็นที่จะต้องดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ต ควรสแกนทุกโปรแกรมก่อนการนำไปใช้งาน
     6.  หมั่นอัพเดทซอฟท์แวร์ป้องกันไวรัส (virus definition) อย่างสม่ำเสมอ
      7.  ใช้วิจารณญาณของตนเอง ถ้ารู้สึกว่าไฟล์นั้นดูน่าสงสัยหรือไม่ชอบมาพากล ก็ควรลบไฟล์นั้นทิ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไฟล์นั้นมาจากแหล่งที่ดูไม่น่าไว้วางใจ

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Virus)

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus)
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) หรือเรียกสั้นว่า ไวรัส คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่
บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์
ร้ายและสร้าง ความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ ในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็ นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้หรือข้อมูลเอกสาร ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของ
ความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์(malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิด ความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
ในขณะที่ไวรัสโดยทั่วไปนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย (เช่น ทำลายข้อมูล) แต่ก็มีหลาย
ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น ไวรัสบางชนิดนั้นจะมี
การตั้งเวลาให้ทำงานเฉพาะตามเงื่อนไข เช่น เมื่อถึงวันที่ที่กำหนด หรือเมื่อทำการขยายตัวได้ถึง
ระดับหนึ่ง ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะเรียกว่า บอมบ์ (bomb) หรือระเบิด ระเบิดเวลาจะทำงานเมื่อถึง
วันที่ที่กำหนด ส่วนระเบิดเงื่อนไขนั้นจะทำงานเมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีการกระทำเฉพาะซึ่งเป็น
ตัวจุดชนวน ไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิด ความเสียหายหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีผลเสียที่เกิด
จากการแพร่ขยายตัวของไวรัสอย่างไร้การควบคุม ซึ่งจะเป็นการบริโภคทรัพยากรคอมพิวเตอร์
อย่างไร้ประโยชน์ หรืออาจจะบริโภคไปเป็นจำนวนมาก
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
บูตไวรัส
บูตไวรัส (boot virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้ าหมายในระหว่างเริ่มทำ
การบูตเครื่อง ส่วนมาก มันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิ ดเครื่อง เมื่อนำ
แผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอน
เริ่มทำงานทันที
บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคคอร์ด (master
boot record) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน
ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไฟล์ไวรัส
ไฟล์ไวรัส (file virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม เช่นโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจาก
อินเทอร์เน็ต นามสกุล.exe โปรแกรมประเภทแชร์แวร์เป็นต้น
โทรจัน
ม้าโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง กระทำ
การบางอย่าง ในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนาน
ของม้าไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดนั้น ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัว
ได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจัน (คอมพิวเตอร์)จะถูกแนบมากับ อีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้
ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะ
สามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

บริการจาก Google และยกตัวอย่าง (10 บริการ)



    Google.com เซ็บไซต์ที่ใครๆต่างก็รู้จัก เป็นเว็บที่ให้บริการหลายอย่าง (ฟรีเกือบทั้งหมด) แต่จะมีใครบ้างที่รู้ และใช้ประโยชน์จาก Google ได้เต็มที่ ดังนั้นวันนี้ จุกจึงขออาสาแนะนำบริการที่ทาง Google เปิดให้บริการกับพวกเรา ชาวนักท่องเน็ตทั้งหลายกัน…. บริการที่ว่านี้ คืออะไร
    • Google AdSense มีหลายแบบ แต่ที่เราเข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ เป็นช่องทางทำเงินสำหรับคนที่มีเว็บไซต์ โดยการเอา เอา Script ของ Google มาติดที่เว็บไซต์เรา แล้วโฆษณาจะสาแสดงเอง เมื่อมีคนคลิกที่ โฆษณานั้น เรากับรับตังค์ สะสมให้ครบ Google ก็จะจ่ายให้เรา
    • Google AdWords อันนี้สำหรับคนที่มีสินค้า หรือเว็บไซต์ต้องการโปรโมท ก็มาเป็นสมาชิก โฆษณาที่เราฝากไว้ จะไป show ที่ Google AdSense พอมีคนคลิกที่ Google AdSense เราค่อยจ่ายค่าที่คนคลิก
    • Google Alerts คือ e-mail updates เป็นการ monitor เว็บไซต์เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็จะแจ้งเรา
    • Google Analytics เป็นเครื่องมือสำหรับ Web Programmer ทั้งหลาย เอาไว้ดูบันทึกการเข้า website ของเรา ดูสถิติ (statistics, stat) ช่วยให้เราเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง
    • Google Answers ตอบทุกคำถามที่เราอยากรู้
    • Google Blog Search เป็นบริการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในเว็บบล็อก (เจาะจงเฉลาะ blog)
    • Google Book Search ค้นหาหนังสือจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งแจกฟรีและขาย และ link ต่อไปยังผู้ขายไม่ว่าจะเป็น Froogle, Amazon ฯลฯ
    • Google Catalogs เป็น search engine สำหรับการขายสินค้าผ่าน email
    • Google Click-to-Call คือเวลาเราค้นหาโฆษณาผ่าน Google เมื่อเจอแล้ว เราสามารถ ติดต่อโดยตรงได้เลย
    • Google Code เป็นเหมือนศูนย์กลางในการโปรโมท code หรือโปรแกรมที่เราพัฒนาขึ้น ซึ่งจะมีคนมากมายเข้ามา reviews project ของเรา (เป็นการโปรโมท website ที่ดี)

    Social Network และยกตัวอย่าง WebหรือApplication (10 ตัวอย่าง)

    social network   คือ   สังคมของโลกแห่งอินเตอร์เน็ท  หรือเรียกว่าสังคมของมนุษย์ที่ติดต่อสื่อสารกันด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอินเตอร์เน็ท ทางโทรศัพท์ ทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม 
    และอื่น ๆ ที่ไร้สาย
    ในโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันนี้รูปแบบข
    องเว็บไซต์ที่เป็น
     โซเชียล เน็ตเวิร์คได้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย 
    ซึ่งเว็บในรูปแบบของโซเชียล เน็ตเวิร์ค คือ เว็บที่คุณสามารถ “สร้าง” ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนได้ผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบเชื่อมโยงเป็นโครงข่ายจาก เพื่อนสู่เพื่อน ทำให้ติดต่อสื่อสารกันสะดวกมากยิ่งขึ้นแต่ในทางกลับกัน
    ก็มีภัยด้านมืดของโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว‘การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กที่แพร่หลาย พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่เป็นนักเรียน  นักศึกษา  มีเพียง 4 ใน 100  คนที่รู้ด้านลบของการใช้ โซเชียล เน็ตเวิร์ก  และรู้ว่าต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง’  เป็นคำกล่าวของ ปริญญา หอมเอนก  นักวิชาการและกรรมการและเลขานุการ สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ ปริญญา มองว่า กระแสโซเชียล เน็ตเวิร์กที่มาแรงมากๆ แต่การเล่นโซเชียล เน็ตเวิร์กกำลังกลายเป็นดาบสองคม   ถ้าใช้ไม่ระวังก็จะเป็นภัยกับตัวเอง  รวมทั้งองค์กร  โดยเฉพาะการทวิต หรือ โพสต์ข้อมูลที่อาจเป็นช่องโหว่ให้อาชญากรไซเบอร์  ใช้เป็นข้อมูลในการคุกคามผู้ใช้ได้ง่ายๆ   



    10  ภัยอันตรายจาก Social Network ที่ควรระวัง

    1. หลอกว่ามาดีแต่จริงๆประสงค์ร้าย   การโจมตีแบบนี้ เป็นหนึ่งในวิธีการที่นิยมใช้เป็นอย่างมาก เน้นการโจมตีที่ตัวบุคคล โดยผู้ใช้งานมักจะคาดไม่ถึง และ ตกเป็น เหยื่อในที่สุด ส่วนมากจะมาในรูปแบบของ แอพพลิเคชั่นบน Facebook หรือการเล่นเกมเพื่อแลกของรางวัล เมื่อผู้ใช้งานคลิกเข้าไปใช้ งานแอพพลิเคชั่นหรือร่วมเล่นเกมดังกล่าว ก็จะตกเป็นเหยื่อของพวกอาชญากรโดยไม่ทันตั้งตัว
    2. ล่อเหยื่อตกปลาออนไลน์  ในอดีต เป็นเทคนิคการล่อลวงที่มักจะส่ง URL Link ที่ล่อให้ไปเข้าเว็บไซด์ปลอม ที่ส่งมาทางอีเมล โดยอาชญากร จะหลอกให้ผู้ใช้งานคลิก URL Link ที่อยู่ในอีเมล แต่ปัจจุบันอาชญากรจะส่ง URL Link ที่ย่อให้สั้นลง (URL Shorten) เช่น คลิปวิดีโอหรือไฟล์ของรูปภาพ และนำไปสู่เว็บไซด์ปลอม เพื่อดักขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่านทางสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น     
    3. โค้ดร้ายฝังลึก        
                  เป็นเทคนิคการโจมตีผู้ใช้งาน Facebook โดยอาชญากรจะทำการฝังโค้ด หรือสคริปต์การทำงานของตนเองเข้าไปบนหน้าเว็บไซด์ที่มีช่องโหว่ ซึ่งข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ Facebook เช่น Username และ Password จะถูกส่งกลับมาให้อาชญากร แทนที่จะผ่านเข้าไปในเว็บไซด์ที่ผู้ใช้ Facebook กำลังเยี่ยมชมอยู่
    4. ถูกสวมรอยง่ายๆ แค่เล่น Facebook อย่างไม่ระวัง
                  เป็นวิธีการที่อาชญากรใช้ในการโจมตีผู้ใช้ Facebook หรือ Internet Banking โดยการแอบขโมยสิทธิ หรือ Credential ที่ผู้ใช้ได้ล็อกอินเว็บไซด์ ค้างไว้ ซึ่งอาชญากรอาจนำ Credential ของเราไปใช้งานต่อ เช่น ทำการโอนเงินออก จากบัญชีของผู้ใช้งานระบบ Internet Banking โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว เป็นต้น
    5.หลอกให้คลิกแต่แอบซ่อนมีดไว้รอเชือด
                  เป็นเทคนิคการโจมตีผู้ใช้งาน โดยหลอกให้คลิกรูป ที่ดูล่อตาล่อใจบนเว็บไซด์ ซึ่งอาชญากรจะแอบซ่อน Invisible frame ไว้หลังรูป เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่เหยื่อไม่รู้ตัวเลยว่ามี Script มุ่งร้ายแอบซ่อนอยู่
    6. โดนหลอกล่อให้ไปเจอ Link ที่อาชญากร รออยู่ 
                  ผู้ใช้งาน Facebook อาจถูกโจมตี ด้วยโปรแกรมประสงค์ร้าย ที่สามารถทำการติดตั้งลงบนเครื่อง ของผู้ใช้งาน Facebook เพียงแค่ผู้ใช้งานเข้าไปเยี่ยมเว็บไซด์ ที่อาชญากรโพสต์ เป็น Link ล่อเหยื่อไว้บน Facebook Page และผู้ใช้งาน เผลอดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว
    7. เทคนิคการโจรกรรมข้อมูลขั้นสูงแบบต่อเนื่อง
       
                  เป็นเทคนิคการโจมตีขั้นสูงที่มุ่งเน้นเป้าหมายผู้ใช้งาน Internet Banking ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับองค์กร หรือ รัฐบาล โดยอาชญากรสามารถฝังโปรแกรมมุ่งร้าย เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของเป้าหมาย เพื่อแอบโจรกรรมข้อมูลลับ อย่างต่อ เนื่อง เป็นระยะเวลานาน ซึ่งยากต่อการตรวจสอบด้วยโปรแกรม Anti-virus ทั่วไป
                  สำหรับ MitB (Man-In-The-Browser Attack) เป็นเทคนิคในการโจมตีที่หลัง Browser ของเหยื่อ มักจะใช้ในการ ทำ Indentity Theft ด้วยเทคนิค Web Field Injection
    8. โดนดักข้อมูลลับระหว่างทาง 
                  เป็นเทคนิคการโจมตีผู้ใช้งาน Facebook โดยอาชญากรจะทำการดักจับข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่างผู้ใช้งาน Facebook กับ   www.facebook.com   แบบเงียบ เพื่อขโมย Username และ Password ของผู้ใช้ และอาจลุกลามไปถึง E-mail Accountด้วย ถ้าใช้ Username และ Password เดียวกัน กับ Facebook
    9. บอกเพื่อนว่าเราอยู่ไหน (บอกโจรว่าเราไม่อยู่บ้าน)
                  การใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หรือ Twitter นั้น อาจทำให้ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน (GPS Location) ของผู้ใช้งาน Facebook หรือ Twitter สามารถถูกเปิดเผยสู่สาธารณะได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว จากการใช้งานโปรแกรม ประเภท Foursquare, Google Latitude และ Facebook Place
    10. ระวังข้อมูลส่วนตัวหลุดรั่วขณะเล่น Facebook เพลินๆ
                  ข้อมูลส่วนต้วของผู้ใช้ Facebook อาจถูกเปิดเผยสู่สาธารณะได้ ถ้าผู้ใช้งาน Facebook ไม่ได้ปรับแก้การตั้งค่าแบบDefault ให้เป็นแบบที่ปลอดภัยมากขึ้น
    Social Network  เช่น 
    • Hi5
    • Friendster
    • My Space
    • Face Book
    • Orkut
    • Bebo
    • Tagged

    Homepage/ Webpage /Website /Web Browser

    ที่มาของภาพ   http://poopeza.blogspot.com/



    เว็บไซต์ (Website) คืออะไร
    เว็บไซต์ (Website) หมายถึง แหล่งความรู้หรือข้อมูลข่าวสารที่ถูกเก็บไว้บนระบบ เน็ตเวิร์ก (Network) ออนไลน์ (Online) ที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต (Internet) ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไดบนโลกนี้ถ้า คอมพิวเตอร์ (Computer) ของคุณได้ถูกเชื่อมต่อไว้กับระบบอินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถที่จะเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทาง ซอฟต์แวร์ (Software) ที่เรียกว่า เว็บบาวเซอร์ (Web Browser)
    โฮมเพจ (Home Page) คืออะไร
    โฮมเพจ คือคำที่ใช้เรียกหน้าแรกของเว็บไซต์ ซึ่งประกอบไปด้วยเมนูต่างๆและเรื่องราวต่างๆมากมายคล้ายกับหน้าปกนิตรสารบ้านเรา ดังนั้นหากเราออกแบบหน้าโฮมเพจให้สวยงามและน่าสนใจ โอกาสที่ผู้ชมจะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนโฮมเพจของเราก็จะยิ่งมากตามไปด้วย
    เว็บเพจ (Web Page) คืออะไร
    เว็บเพจ คือ คำที่ใช้เรียกหน้าเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบไฟล์ HTML (Hyper Text Markup Language) เปรียบเสมือนหน้ากระดาษแต่ละหน้าที่มีเรื่องราวต่างๆมากมายบรรจุอยู่ในนิตรสาร แต่แตกต่างกันตรงที่มีการเชื่อมโยง (Link) ซึ่งเราสามารถคลิกไปที่หน้าใดของโฮมเพจก็ได้
    Web Hosting คืออะไร
    web hosting คือ การบริการให้เช่าพื้นที่ในการทำเว็บไซต์ หรือหากต้องการจัดทำเว็บไซต์เป็นของตัวเอง จะต้องทำการจดโดเมนก่อนและหลังจากนั้น ก็ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์เสร็จแล้วจึงเช่าโฮสติ้ง สามารถจดโดเมนพร้อมกับเช่าโฮสติ้งพร้อมกันได้ทันที
    คุณสมบัติที่ดีของเว็บโฮสติ้ง
    1. เว็บโฮสติ้ง จะต้องไม่ล่มบ่อย
    2. เว็บโฮสติ้ง จะต้องมีระบบป้องกันไวรัสหรือสแปม ขั้นต่ำ 90%
    3. เว็บโฮสติ้ง จะต้องมีการสำรองข้อมูลอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
    4. เว็บโฮสติ้ง จะต้องมีความรวดเร็วในการโหลดเว็บ
    โดเมน คืออะไร
    ชื่อโดเมน หรือ โดเมนเนม (domain name) หมายถึง ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ (เช่น เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่เว็บไซต์ หรืออีเมล์แอดเดรส) เพื่อไปค้นหาในระบบ โดเมนเนมซีสเทม เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส ของชื่อนั้นๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้ง เราอาจจะใช้ "ที่อยู่เว็บไซต์" แทนก็ได้
    โดเมนเนม หรือ ชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยากกว่า และเมื่อการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป
    SEO คืออะไร 
    SEO (เอสอีโอ) มาจากคำเต็มๆ ว่า Search Engine Optimization ความหมายแบบบ้านๆ ลูกทุ่งๆ ก็คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ และกระบวนการต่างๆ ของเว็บไซต์ตั้งแต่การออกแบบ เขียนโปรแกรม และการโปรโมทเว็บ เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ของ Search Engine (เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Google, MSN, Yahoo, AOL เป็นต้น)
    SEO สำคัญยังไง
    อินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่ใช้ Search Engine ในการค้นหาข้อมูล แทนที่จะต้องพิมพ์ URL (Uniform Resource Locator) ก็ใช้ Keyword (คำค้น) ป้อนลงไปใน Search Engine Box ต่างๆ ก็จะค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างง่ายดาย และตรงประเด็น มีให้เลือกเปรียบเทียบอีกหลายๆ แห่ง สำหรับเรื่องๆ นั้น และเมื่อค้นพบแล้ว ก็จะมีการแสดงผลออกมาหลายๆ หน้า หลายๆ เว็บไซต์ เว็บที่ถูกแสดงเป็นอันดับที่ 1 2 3 หรือที่แสดงผลในหน้าแรก ก็จะถูกคลิกเข้าไปดูข้อมูลมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง เว็บไซต์ต่างๆ ย่อมต้องการให้เว็บตัวเองขึ้นอันดับ 1 ของ Keyword นั้นๆ เผื่อผลประโยชน์หลายๆ ด้านเช่น ขายสินค้า โฆษณา หรือโปรโมทร้านค้า บริษัทของตัวเอง ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง ดังนั้น ผมสรุป ความสำคัญของ SEO ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ (ใครต้องการเพิ่มก็เขียนไว้ที่ คอมเม้นท์นะครับ)
    ทำให้เว็บของเราติดอันดับต้นๆ ในการแสดงผลงการค้นหา
    การเขียน Title ที่ดี Keyword Intrend ช่วยทำให้สะดุดตา แม้อันดับต่ำกว่า ก็มีสิทธิ์ถูกคลิกมากกว่า  ทำให้เว็บเราถูกหลักของ W3C ซึ่งเป็นมาตรฐานของภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำให้ดูสละสลวยเมื่อ Search Engine มาเจอก็เก็บข้อมูลต่างๆ ได้ง่าย เมื่อติดอันดับต้นๆ ทำให้ขายสินค้าได้ โฆษณาเข้ามา เพราะมีทราฟิก ติด Adsense ก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินค่าโฆษณาที่สูงด้วย เพราะมีทราฟิกก็มีโอกาส อื่นๆ 
    PPC คืออะไร
    Pay per Click Advertising หรือที่มักนิมยมเรียกอย่างย่อว่า PPC คือ การลงโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่ายกับทาง Search Engine เกิดขึ้นเมื่อมีผู้เข้าเยี่ยมชม ค้นหาคำที่ตรงกับ Keywords ของเว็บไซต์ที่ต้องการโฆษณา และเว็บไซต์ที่ต้องการลงโฆษณาปรากฏอยู่ทางด้านขวามือของ Search Engine โดยผู้ลงโฆษณาจะเสียค่าใช้แบบ Pay Per Click ก็ต่อเมื่อผู้เข้าค้นหา คลิกไปที่เว็บไซต์ที่ลงโฆษณา และตำแหน่งที่จะปรากฏใน Search Engine ด้านขวามือนี้จะขึ้นอยู่กับการให้ราคาประมูล Pay Per Click กับทาง Search Engine เช่น คำว่า Hotel อาจมีผู้ค้นหาจำนวนมาก และมีผู้ประกอบการจำนวนมาก ต้องการลงโฆษณาด้วยการใช้ Keywords คำนี้เช่นกัน จะมีการประมูลแข่งราคากันว่า ผู้ประกอบการรายใดจะให้ราคาประมูลสูงที่สุด ทางผู้ให้บริการลงโฆษณาแบบ Pay Per Click ก็จะให้ผู้ประกอบการรายนั้น มีข้อความปรากฏตามคำที่ค้นหา ในอันดับสูงที่สุดทางด้านขวามือ เป็นต้น
    Pay per Click Advertising มีชื่อเรียกหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
    Keywords Advertising
    Pay Per Click (PPC)
    Cost Per Click (CPC)
    Sponsored Link
    Sponsored Results
    Paid Placement
    Paid Listing
    Paid Advertising
    AdWords คือ Pay Per Click Advertising Program ของ Search Engine อันดับ 1 ของโลก ได้แก่ Google.com ซึ่งเป็นวิธีการโฆษณาเว็บไซต์ผ่านทาง Google.com โดยโฆษณาของเราจะขึ้นเคียงข้างกับ Search Result ปกติของ Google.com และ เราจะเสียค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อ มีผู้คลิกผ่านโฆษณาของเรา เข้ามายังเว็บไซต์ของเราแล้วเท่านั้น ทำให้เรามั่นใจได้ว่า การโฆษณาของเรานั้นมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากว่าการโฆษณาในแบบอื่นๆ
    CMS ย่อมาจาก Content Management System เป็นระบบที่นำมาช่วยในการสร้างและบริหารเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป โดยในการใช้งาน CMS นั้นผู้ใช้งานแทบไม่ต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรม ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ ตัวของ CMS เองจะมีโปรแกรมแถมมาและสามารถแทรกเองได้มากมายเช่น webboard , ระบบจัดการป้ายโฆษณา , ระบบนับจำนวนผู้ชม แม้แต่กระทั่งตระกร้าสินค้า และอื่นๆอีกมากมาย
    CMS เป็นเหมือนโปรแกรม โปรแกรมหนึ่ง ที่มีผู้พัฒนามาจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในเว็บไซต์เช่น PHP , Python , ASP , JSP ซึ่งในปัจจุบันมีคนใจดีพัฒนา CMS ฟรีขึ้นมามากมายอย่างเช่น Mambo , Joomla , Wordpress
    แน่นอนว่าผู้พัฒนาระบบ CMS ฟรี ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนเป็นมืออาชีพที่มีฝีมือในเรื่องของ เว็บไซต์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งการเขียนโปรแกรมที่รัดกุม การออกแบบเนวิเกชั่นที่ดี ทำให้ภาพรวมของเว็บไซต์ที่ใช้ CMS นั้นออกมาในแนวมืออาชีพอย่างมาก
    ข้อดีของ CMS 
    1.ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการทำเว็บไซต์ เพียงแค่เคยพิมพ์ หรือเคยโพสข้อความในอินเทอร์เนต ก็สามารถมีเว็บไซต ์เป็นของตัวเองได้ 
    2.ไม่เสียเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ ไม่เสียเงินจำนวนมาก 
    3.ง่ายต่อการดูแล เพราะมีระบบจัดการทุกอย่างให้เราหมด 
    4.มีระบบจัดการที่เราสามารถหามาใส่เพิ่มได้มากมาย อย่างเช่น ระบบแกลลอรี่ 
    5.สามารถเปลี่ยนหน้าตาเว็บไซต์ได้ง่ายๆ เพียงแค่โหลดทีม (Theme) ของ CMS นั้นๆ 

    ข้อเสียของ CMS
    1.ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการออกแบบทีม (หน้าตาของเว็บ) เอง จะต้องใช้ความรู้มากกว่าปรกติ เนื้องจาก CMS มีหลายๆระบบมารวมกันทำให้เกิดความยุ่งยาก สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้
    2.ผู้ใช้จะต้องศึกษาระบบ CMS ที่ผู้พัฒนาสร้างขึ้นมา เช่นจะต้องใส่ข้อความลงตรงไหน จะต้องแทรกภาพอย่างไร ซึ่งจะลำบากเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น
    3.ในการใช้งานจริงนั้นจะมีความยุ่งยากในการ set up ครั้งแรกกับ web server แต่ปัจจุบันก็มีผู้บริการ web server มากมายที่เสนอลงและ set up ระบบ CMS ให้ฟรีๆโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
    เมื่อรวมๆข้อดีและข้อเสียดูแล้ว ก็ยังเห็นได้ว่า CMS นั้นก็เป็นระบบที่น่าใช้งานอยู่ดี

    การใช้งานทั่วไปของ Email

    การเริ่มต้นใช้งานอีเมล
    อีเมล (ชื่อย่อของ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์) เป็นวิธีที่รวดเร็วและสะดวกในการติดต่อกับผู้อื่น คุณสามารถใช้อีเมลในการ
    • ส่งและรับข้อความ คุณสามารถส่งข้อความอีเมลไปให้บุคคลใดก็ได้ที่มีที่อยู่อีเมล ข้อความนั้นจะเข้าไปอยู่ในกล่องอีเมลขาเข้าของผู้รับภายในไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที ไม่ว่าเขาหรือเธอจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่หลังถัดไป หรือใครก็ตามที่อยู่ไกลถึงครึ่งค่อนโลก
      อีเมลเป็นการติดต่อแบบสองทาง คุณสามารถรับข้อความจากผู้ที่ทราบที่อยู่อีเมลของคุณ จากนั้นคุณก็อ่านแล้วตอบกลับข้อความเหล่านั้น
    • ส่งและรับแฟ้ม นอกจากข้อความแล้ว คุณยังสามารถส่งแฟ้มแทบทุกชนิดในข้อความอีเมล รวมทั้งเอกสาร รูปภาพ และเพลง แฟ้มที่ส่งมาในข้อความอีเมลเรียกว่า สิ่งที่แนบมา
    • ส่งข้อความไปยังกลุ่มบุคคล คุณสามารถส่งข้อความอีเมลไปให้ผู้รับหลายคนพร้อมกัน ในขณะที่ผู้รับสามารถตอบกลับไปยังกลุ่มทั้งกลุ่มได้ ซึ่งทำให้เกิดการอภิปรายกลุ่ม
    • ส่งต่อข้อความ เมื่อคุณได้รับข้อความอีเมล คุณสามารถส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความนั้นใหม่
    ข้อดีอย่างหนึ่งของอีเมลเมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์หรือจดหมายทั่วไปก็คือความสะดวกในการใช้งาน คุณสามารถส่งข้อความในเวลาใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ถ้าผู้รับไม่อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์และไม่ได้ ออนไลน์ (เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต) ในขณะที่คุณส่งข้อความ ผู้รับจะพบอีเมลรออยู่ในเวลาต่อมาที่เขาตรวจสอบอีเมล ในกรณีที่ผู้รับออนไลน์อยู่ คุณอาจได้รับการตอบกลับภายในไม่กี่นาที
    นอกจากนี้ การใช้อีเมลยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ด้วย ซึ่งต่างกับการส่งจดหมายทั่วไป เพราะการส่งอีเมลไม่จำเป็นต้องมีแสตมป์หรือเสียค่าธรรมเนียม และไม่ต้องกังวลว่าผู้รับจะอยู่ที่ใด ค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวที่คุณต้องจ่ายคือค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    ฉันต้องมีสิ่งใดบ้างก่อนที่จะใช้อีเมลได้

    เมื่อคุณต้องการใช้อีเมล คุณจำเป็นต้องมีสามสิ่งดังต่อไปนี้
    • การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เมื่อคุณต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของคุณกับอินเทอร์เน็ต คุณต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider:ISP) ก่อน ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะคิดค่าธรรมเนียมเป็นรายเดือน นอกจากนี้คุณยังต้องมีโมเด็ม ด้วย โปรดดูที่ ฉันต้องมีสิ่งใดบ้างในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
    • โปรแกรมอีเมลหรือบริการบนเว็บ คุณสามารถใช้ Windows Mail ซึ่งเป็นโปรแกรมอีเมลที่มากับ Windows และยังสามารถใช้โปรแกรมอีเมลอื่นๆ ได้อีก ทันทีที่คุณติดตั้งโปรแกรมนั้นลงในคอมพิวเตอร์
      ถ้าคุณต้องการ คุณสามารถลงทะเบียนกับบริการอีเมลบนเว็บที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น Gmail, MSN Hotmail หรือ Yahoo! Mail บริการเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบอีเมลของคุณด้วย เว็บเบราว์เซอร์ จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ตามที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
    • ที่อยู่อีเมล คุณสามารถรับที่อยู่อีเมลจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ (ISP) หรือจากบริการอีเมลบนเว็บเมื่อคุณลงทะเบียน ที่อยู่อีเมลประกอบด้วยชื่อผู้ใช้ (อาจเป็นชื่อเล่นที่คุณเลือกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อจริงเสมอไป) เครื่องหมาย @ และชื่อของ ISP หรือผู้ให้บริการอีเมลบนเว็บ ตัวอย่างเช่นsomeone@example.com

    การตั้งค่า Windows Mail

    เมื่อคุณมีที่อยู่อีเมลและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว คุณก็พร้อมที่จะส่งและรับอีเมล เมื่อต้องการใช้อีเมลใน Windows Mail คุณต้องตั้งค่า บัญชีผู้ใช้อีเมล ก่อนที่จะเพิ่มบัญชี คุณจำเป็นจะต้องได้รับข้อมูลบางอย่างจาก ISP ของคุณ ได้แก่ ที่อยู่อีเมล รหัสผ่าน ชื่อของเซิร์ฟเวอร์อีเมลขาเข้าและขาออกของคุณ และรายละเอียดอื่นๆ บางประการ โปรดดูที่ จะค้นหาข้อมูลบัญชีผู้ใช้อีเมลของคุณได้จากที่ใด

    การเพิ่มบัญชีผู้ใช้อีเมลใน Windows Mail

    1. เปิด Windows Mail โดยการคลิกปุ่ม เริ่มรูปภาพของปุ่ม 'เริ่ม'คลิก โปรแกรมทั้งหมด แล้วคลิก Windows Mail
    2. บนเมนู เครื่องมือ คลิก บัญชีผู้ใช้
    3. คลิก เพิ่ม คลิก บัญชีอีเมล คลิก ถัดไป จากนั้นทำตามคำแนะนำ
    ในระหว่างทำการติดตั้ง คุณจะได้รับการร้องขอให้เลือก ชื่อที่ใช้แสดง ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้รับจะเห็นเมื่อคุณส่งข้อความอีเมลไปให้

    การอ่านข้อความอีเมล

    Windows Mail จะตรวจสอบเพื่อดูว่าคุณได้รับอีเมลหรือไม่เมื่อคุณเริ่มโปรแกรมดังกล่าวและทุก 30 นาทีหลังจากนั้น (เมื่อต้องการเปลี่ยนช่วงเวลานี้ โปรดดูที่การตรวจสอบอีเมลใหม่) อีเมลที่คุณได้รับจะปรากฏในกล่องขาเข้าของคุณ กล่องขาเข้าเป็นโฟลเดอร์หนึ่งในหลายๆ โฟลเดอร์ที่เก็บอีเมลไว้
    เมื่อต้องการดูรายการอีเมลที่คุณได้รับ ให้คลิก กล่องขาเข้า ในรายการ โฟลเดอร์ ข้อความอีเมลของคุณจะปรากฏอยู่ในรายการข้อความ รายการนี้จะแสดงชื่อผู้ส่งอีเมล เรื่อง และเวลาที่ได้รับอีเมล
    เมื่อต้องการอ่านข้อความ ให้คลิกที่ข้อความนั้นในรายการข้อความ เนื้อหาของข้อความจะปรากฏอยู่ด้านล่างรายการข้อความในบานหน้าต่าง 'แสดงตัวอย่าง' เมื่อต้องการอ่านข้อความในหน้าต่างแยกต่างหาก ให้คลิกสองครั้งที่ข้อความนั้นในรายการข้อความ
    รูปภาพของ Windows Mail ที่แสดงรายการโฟลเดอร์ รายการข้อความ และบานหน้าต่าง 'แสดงตัวอย่าง'
    คลิกกล่องขาเข้าเพื่อดูข้อความอีเมลของคุณ
    เมื่อต้องการตอบกลับข้อความ ให้คลิกปุ่ม ตอบกลับ เมื่อต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเขียนและส่งการตอบกลับ ให้ดูที่ "การสร้างและการส่งข้อความอีเมล" ในบทความนี้
    โปรดดูเพิ่มเติมที่ การดูข้อความอีเมลใน Windows Mail

    การสร้างและการส่งข้อความอีเมล

    เมื่อคุณต้องการสร้างข้อความอีเมลใหม่ใน Windows Mail ให้คลิกปุ่ม สร้างจดหมาย หน้าต่างข้อความใหม่จะเปิดขึ้นมา
    รูปภาพของตัวอย่างข้อความอีเมล
    ข้อความอีเมลตัวอย่าง
    ต่อไปนี้คือวิธีการใส่ข้อมูลลงในหน้าต่างข้อความของ Windows Mail และโปรแกรมอีเมลอื่น
    1. ในช่อง ถึง พิมพ์ที่อยู่อีเมลของผู้รับอย่างน้อยหนึ่งราย ในกรณีที่คุณกำลังจะส่งข้อความไปยังผู้รับหลายราย ให้พิมพ์เครื่องหมายอัฒภาค (;) คั่นระหว่างที่อยู่อีเมล
      ในช่อง สำเนาถึง คุณสามารถพิมพ์ที่อยู่อีเมลของผู้รับลำดับที่สอง ซึ่งก็คือบุคคลที่ควรทราบเกี่ยวกับข้อความอีเมลนั้น แต่ไม่จำเป็นต้องกระทำการใดๆ เกี่ยวกับอีเมลนั้น ผู้รับลำดับที่สองจะรับข้อความเดียวกับที่บุคคลในช่อง 'ถึง' ได้รับ ถ้าไม่มีผู้รับลำดับที่สอง ให้ปล่อยให้ช่องนั้นว่างไว้
    2. ในช่อง เรื่อง ให้พิมพ์ชื่อเรื่องสำหรับข้อความของคุณ
    3. ส่วนในพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ให้พิมพ์ข้อความของคุณ
      เมื่อต้องการแนบแฟ้มไปกับข้อความ ให้คลิกปุ่ม แนบแฟ้มกับข้อความรูปภาพของปุ่ม 'แนบแฟ้มกับข้อความ' บนแถบเครื่องมือ (อยู่ด้านล่างของแถบเมนู) ให้ค้นหาแฟ้มที่ต้องการจะแนบ เลือกแฟ้มนั้น แล้วคลิก เปิด ขณะนี้แฟ้มดังกล่าวจะปรากฏในช่อง แนบ ที่ส่วนหัวของข้อความ
    รูปภาพของแฟ้มที่แนบไปกับข้อความอีเมล
    แฟ้มที่แนบกับข้อความอีเมล
    คุณทำเสร็จแล้ว! เมื่อต้องการส่งข้อความ ให้คลิกปุ่ม ส่ง จะมีการบีบอัดข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตไปยังผู้รับ

    หมายเหตุ

    • เมื่อต้องการเปลี่ยนลักษณะ แบบอักษร ขนาด หรือสีของข้อความ ให้เลือกข้อความนั้น จากนั้นคลิกปุ่มใดปุ่มหนึ่งบนแถบการจัดรูปแบบ (อยู่ด้านบนของพื้นที่ข้อความ)

      แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอีเมล

      การสื่อสารทางอีเมลมีแบบแผนของการปฏิบัติเช่นเดียวกับการสนทนาทางโทรศัพท์และการสื่อสารแบบเผชิญหน้า แบบแผนเหล่านี้เรียกว่าแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอีเมล หรือ แนวทางปฏิบัติทางอินเทอร์เน็ต ("netiquette" คือการรวมกันระหว่างคำว่า "Internet" และ "etiquette") เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ กรุณาปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้
      • โปรดระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องตลกและอารมณ์ อีเมลไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีนัก ดังนั้นผู้รับอีเมลอาจไม่เข้าใจสิ่งที่คุณตั้งใจจะบอก โดยเฉพาะเรื่องตลกเสียดสีต่างๆ จะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากผู้รับอาจแปลความหมายเรื่องนั้นตามตัวอักษรและทำให้เกิดความขุ่นเคืองได้ เมื่อต้องการถ่ายทอดอารมณ์ ให้ลองใช้สัญรูปอารมณ์ (โปรดดู "การใช้สัญรูปอารมณ์" ในบทความนี้)
      • คิดก่อนที่คุณจะส่ง การเขียนและการส่งข้อความอีเมลเป็นเรื่องที่รวดเร็วและง่าย จนบางครั้งอาจง่ายเกินไป โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อความที่จะส่งเป็นสิ่งที่คุณได้คิดไว้ก่อนแล้ว และหลีกเลี่ยงการเขียนในขณะที่คุณกำลังโกรธ เพราะทันทีที่ส่งข้อความนั้นแล้ว คุณไม่สามารถเรียกกลับคืนได้
      • เขียนในบรรทัดเรื่องให้ชัดเจนและกระชับ โดยสรุปเนื้อหาของข้อความเป็นคำสั้นๆ สักสองสามคำ ผู้ที่ได้รับอีเมลจำนวนมากจะสามารถใช้ชื่อเรื่องนี้ในการจัดลำดับความสำคัญของข้อความ
      • พยายามเขียนข้อความสั้นๆ ถึงแม้ว่าพื้นที่ข้อความจะไม่จำกัดความยาวของเนื้อความ แต่ในความเป็นจริงอีเมลออกแบบมาเพื่อการสื่อสารที่รวดเร็ว คนส่วนใหญ่จะไม่มีเวลาหรือความอดทนเพียงพอที่จะอ่านข้อความมากกว่าสองหรือสามย่อหน้า
      • หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรตัวใหญ่ทั้งหมด ด้วยเหตุที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าประโยคข้อความที่เขียนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดเปรียบเสมือนการ "ตะโกน" และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่พอใจหรือรำคาญ
      • โปรดระมัดระวังข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลสำคัญ ในบางกรณี ผู้รับอาจส่งต่อข้อความของคุณไปให้บุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
      นอกจากนี้ ในการสื่อสารที่เป็นทางการหรือการสื่อสารทางธุรกิจ ให้ระมัดระวังเรื่องตัวสะกดและข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ เพราะอีเมลที่ขาดความระมัดระวังอาจสื่อถึงภาพพจน์ของความไม่เป็นมืออาชีพ ดังนั้นควรอ่านตรวจทานข้อความของคุณก่อนที่จะส่ง และหากโปรแกรมอีเมลของคุณมีตัวตรวจสอบการสะกด ให้ใช้ตัวตรวจสอบนั้น โปรดดูที่ การตรวจสอบการสะกดข้อความใน Windows Mail

      การใช้สัญรูปอารมณ์

      เนื่องจากการถ่ายทอดอารมณ์ เจตนา หรือน้ำเสียงผ่านทางข้อความเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ยาก ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในระยะแรกๆ จึงได้คิดค้น สัญรูปอารมณ์(emoticons คือการรวมคำว่า "emotion" เข้ากับ "icons") ขึ้นใช้ ซึ่งก็คือลำดับของอักขระบนแป้นพิมพ์ที่เป็นสัญลักษณ์ถ่ายทอดการแสดงออกของสีหน้า ตัวอย่างเช่น :) จะคล้ายกับใบหน้าที่กำลังยิ้มเมื่อคุณมองทางด้านข้าง ด้านล่างนี้คือตัวอย่างสัญรูปอารมณ์
      สัญรูปอารมณ์ความหมาย
      :) หรือ :-)
      ยิ้ม มีความสุข หรือขำ
      :( หรือ :-(
      บึ้งหรือไม่มีความสุข
      ;-)
      ขยิบตา
      :-|
      ไม่สนใจหรือไม่แน่ใจ
      :-o
      ประหลาดใจหรือเป็นห่วง
      :-x
      ไม่พูดอะไร
      :-p
      แลบลิ้น (มักเป็นการหยอกล้อ)
      :-D
      หัวเราะ

      การจัดการกับอีเมลขยะ

      เช่นเดียวกับที่คุณอาจเคยได้รับโฆษณาที่ไม่ได้ร้องขอ ใบปลิว และแค็ตตาล็อกทางจดหมายตามปกติ คุณก็อาจจะได้รับ อีเมลขยะ (มักเรียกว่า อีเมลที่ไม่พึงประสงค์) ในกล่องขาเข้าของคุณได้เช่นกัน อีเมลขยะรวมถึงการโฆษณา ข้อความหลอกลวง ภาพลามก หรือการเสนอสิทธิ์ต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากสำหรับผู้ทำการตลาด การส่งอีเมลขยะจะเสียค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะได้รับอีเมลประเภทนี้เป็นจำนวนมาก
      Windows Mail ได้รวมตัวกรองอีเมลขยะซึ่งจะทำหน้าที่วิเคราะห์เนื้อหาของข้อความที่ส่งถึงคุณ และย้ายข้อความที่น่าสงสัยไปยังโฟลเดอร์พิเศษที่เก็บอีเมลขยะ เพื่อที่คุณจะสามารถดูหรือลบอีเมลเหล่านั้นออกเมื่อใดก็ได้ และหากข้อความของอีเมลขยะหลุดผ่านตัวกรองเข้าไปในกล่องขาเข้า คุณสามารถระบุให้ข้อความในอนาคตใดๆ ที่มาจากผู้ส่งรายนั้นต้องถูกย้ายไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บอีเมลขยะโดยอัตโนมัติ โปรดดูที่ การบล็อกอีเมลที่ไม่พึงประสงค์และอีเมลอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ
      การป้องกันอีเมลขยะ
      • ใช้ความระมัดระวังในการให้ที่อยู่อีเมลของคุณ หลีกเลี่ยงการประกาศที่อยู่อีเมลที่แท้จริงของคุณใน กลุ่มข่าวสาร บนเว็บไซต์ หรือในพื้นที่สาธารณะของอินเทอร์เน็ต
      • ก่อนให้ที่อยู่อีเมลของคุณในเว็บไซต์ ให้ตรวจสอบคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลของไซต์นั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์นั้นไม่อนุญาตให้มีการเปิดเผยที่อยู่อีเมลของคุณแก่บริษัทอื่น
      • อย่าตอบกลับข้อความอีเมลขยะ ผู้ส่งอีเมลขยะจะทราบว่า ที่อยู่อีเมลของคุณถูกต้อง และอาจขายที่อยู่นั้นไปให้บริษัทอื่น ซึ่งจะทำให้คุณมีโอกาสที่จะได้รับอีเมลขยะมากขึ้นเรื่อยๆ