วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Samsung ยื่นจดสิทธิบัตรสุดแนว ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากการสัมผัสหน้าจอ

ในช่วง อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ US Patent & Trademark Office ได้ทำการเปิดเผยสิทธิบัตรที่ถูกยื่นจดโดย Samsung ที่เนื้อหาภายในเกี่ยวกับการสร้างพลังงานไฟฟ้าโดยการสัมผัสหรือถูไปที่หน้า จอโดยใช้ triboelectric generators ซึ่งจะถูกนำมาใช้งาน(รึเปล่ายังไม่มีใครทราบได้) บนผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาในอนาคต โดยเป้าหมายก็คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์นั้นๆ ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องชาร์จไฟบ่อยๆ

เทคนิค triboelectric generators นี้คือการใช้วัสดุ 2 ชนิดขึ้นไปสัมผัสกันจนทำให้เกิดสภาพขั้วไฟฟ้าที่ต่างกันบนวัสดุทั้ง 2 (เหมือนกับการเกิดไฟฟ้าสถิตย์ที่เอาแท่งอำพันถูกับผ้าแพร จะทำให้แท่งอำพันเกิดไฟฟ้าสถิตย์) โดยผู้ที่นำเทคนิคนี้มาประยุกต์ใช้ก็คือศาสตราจารย์ Wang แห่ง Georgia Institute of Technology ได้นำหลักการนี้มาสร้างพลังงานโดยพึ่งพาพลังงานกลจากการออกแรงกระทำต่อแผ่น วัสดุขั้วไฟฟ้าที่วางซ้อนกัน โดยจะเป็นไปดังคลิปวีดีโอดังต่อไปนี้


สำหรับสิทธิ บัตรของทาง Samsung นั้นได้อ้างอิงหลักการดังกล่าวในข้างต้นว่าการสัมผัสหรือถูไปที่หน้าจอของ อุปกรณ์จะสามารถที่จะนำพลังงานไฟฟ้าส่งกลับไปที่ยังตัวอุปกรณ์ได้(อุปกรณ์ นั้นน่าจะเป็นสมาร์ทโฟนมากกว่าแท็บเล็ท แต่ทว่าก็ยังไม่แน่นอนมากนักว่าจะใช้กับสมาร์ทโฟนได้เพียงอย่างเดียวหรือ ไม่) ซึ่งภายใต้หน้าจอของอุปกรณ์จะมีแผ่นขั้ววัสดุไฟฟ้า(ที่บางกว่า 1 mm) ซ้อนกันอยู่แล้วอาศัยหลักการข้างต้นในการสร้างพลังงานไฟฟ้า


สำหรับสิทธิ บัตรของทาง Samsung นั้นไม่ได้จะใช้แต่เพียงเทคนิค triboelectric generators เท่านั้นครับ เนื่องจากว่าอาจจะมีการใช้เทคนิค piezoelectric generator ร่วมด้วยโดยเทคนิค piezoelectric generator นั้นจะทำการสร้างพลังงานไฟฟ้าโดยการวัดระดับแรงดันของวัตถุ(เมื่อมีการแรงกด วัตถุจะเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น) โดยจะใช้วัตถุเดียวกันกับที่ใช้ในเทคนิค triboelectric generators ซึ่งนั่นทำให้สิทธิบัติของ Samsung นั้นสามารถที่จะสร้างพลังงานไฟฟ้าได้ทั้ง 2 ทิศทางไม่ว่าเราจะสัมผัสหรือถูไปที่หน้าจอหรือว่าเรากดสร้างแรงดันให้กับ หน้าจอครับ ทั้งนี้ก็คงต้องรอคอยดูต่อไปว่า Samsung จะสามารถสร้างอุปกรณ์ที่ใช้งานสิทธิบัตรนี้ขึ้นมาได้จริงๆ หรือไม่ ถ้าได้จริงๆ เราคงไม่ต้องวิ่งหาปลั๊กชาร์จไฟตลอดทั้งวันอย่างที่เคยเป็นมาแล้วก็ได้

 ที่มา: notebookspec

วางจำหน่ายแล้ว!! Hydra Plastic Case เคสสำหรับ iPhone 6 ที่สามารถรักษารอยขีดข่วนเองได้ใน 30 วินาที









เราคงได้เห็น LG G Flex ที่มีความสามารถในการรักษาตัวเองได้กันไปแล้ว หลายคนคงอยากให้มันมาอยู่บนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ตัวเองใช้อยู่กันบ้าง ล่าสุดทาง Innerexile ก็ได้ออก Hydra Plastic Case สำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์รักษาตัวเองเหมือนกับ LG G Flex โดยจากวิดีโอจะเห็นว่าเคสดังกล่าวสามารถรักษาตัวเองได้จากการถูกขูดโดยแปรง ทองเหลืองด้วยน้ำหนัก 1 กิโลกรัม สูงกว่า LG G Flex ที่ทนได้ที่ 750 กรัม จะเห็นว่าสามารถคืนสภาพได้ภายใน 30 วินาที



โดย Innerexile Hydra Case นี้จะวางจำหน่ายแล้วมีให้เลือก 3 สี (แบบใส, ดำ, ชมพู) ที่ราคา $22 ประมาณ 720 บาทสำหรับ iPhone 6 และราคา $26 ประมาณ 850 บาทสำหรับ iPhone 6 Plus สนใจไปสั่งซื้อกันได้ที่



แหล่งที่มา http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=672
https://www.youtube.com/watch?v=wHPdVyN6wYY

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ที่ชาร์จมือถือไซส์มินิ!! ไม่ต้องพกแบตสำรองให้รุ่มร่ามและหนักกระเป๋าอีกต่อไป



ที่ชาร์จมือถือไซส์มินิ!! ไม่ต้องพกแบตสำรองให้รุ่มร่ามและหนักกระเป๋าอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าปัญหาแบตมือถือหมด จะแก้ได้ด้วยการพกแบตสำรอง
แต่ก็เกิดปัญหาอื่นตามมา เพราะแบตเตอรี่สำรองนั้นค่อนข้างหนัก
ถ้าให้ใส่กระเป๋ากางเกงไปใช้ในชีวิตประจำวัน คงจะไม่สะดวกนัก

นักออกแบบนาม Tsung Chih-Hsien
ได้สร้างสรรค์ผลงานคอนเซปต์การออกแบบ ‘Mini Power’
โดยคอนเซปต์การออกแบบชิ้นนี้ได้รับรางวัล Red Dot Award ประจำปี 2014 ไปครอง
mini-power02
ความพิเศษของแบตเตอรี่นี้ที่แตกต่างจากแบตสำรองพกพาทั่วไป คือ ขนาดที่เล็กมากๆ เมื่อเทียบกับแบตสำรองที่มีข้อจำกัด คือ หนักกว่า ต้องต่อสายรุ่มร่าม ขาดความคล่องตัวในการใช้งาน
mini-power03
โดย Mini Power จึงถูกออกแบบมาตอบสนองในข้อจำกัดจุดนี้
มีขนาดเล็กกะทัดรัด ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือสามารถเสียบเข้ากับโทรศัพท์และใช้งานต่อได่ตามปกติทันที ไม่ต้องเสียบสายระโยงระยางให้เกะกะอีกต่อไป
mini-power01
Mini Power ใช้พลังงานจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่กระดาษ
สามารถชาร์จไฟซ้ำและรีไซเคิลได้ ณ ร้านค้าที่จัดจำหน่าย
มีความจุหลายขนาดและราคาที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 2 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง
ที่มา: yankodesign

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 วิธี พักสายตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน

นั่งทำงานอยู่หน้าคอมนานๆต้องปวดตาใช่ไหมละผมเองก็ประสบปัญหานี้เหมือนกันที่ต้องนั้งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้า เราอาจจะประสบปัญหาเกี่ยวกับสายตาโดยไม่รู้ตัว แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขปัญหายังไงล่ะ ?


1.พักงานที่ทำไว้ แล้วออกไปรับอากาศสดชื่นข้างนอกห้อง
2.พื้นที่สบายตา หาอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้เล็กๆ หรือรูปภาพ ที่มองแล้วสบายตา มาไว้ที่โต๊ะทำงาน เพื่อเป็นจุดพักสายตา
3.หลับตา  แล้วเกลือกตาไป-มา สักพักหนึ่ง เพื่อเป็นการพักสายตา
4.อย่าขาดน้ำ ให้ดื่มน้ำตามหลักที่ควรจะดื่มต่อวัน เป็นผลดีต่อสุขภาพ และทำให้ดวงตาเราสดชื่นด้วย 
5.นวดตาแก้ปวด โดยการนวดแบบทวนเข็มนาฬิกาทีละข้าง 5-10 นาที ช่วยคลายกล้ามเนื้อ จากการมองจอเป็นเวลานาน

ลองทำตามวิธีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นดูนะ อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ไม่มากก็น้อย

 ที่มา:Advice gie

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดีไหม! ถ้าทุกครั้งที่คุณหยิบไฟแช็คมาจุดสูบบุหรี่แล้วมันช่วยย้ำเตือนให้คุณเลิกสูบบุหรี่??



ไฟแช็คน่าจะเป็นสิ่งที่คนติดบุหรี่มีติดตัวกันเป็นประจำ  แล้วจะดีไหมถ้าทุกครั้งที่คุณหยิบไฟแช็คมาจุดสูบบุหรี่แล้วมันช่วยย้ำเตือนให้คุณเลิกสูบบุหรี่??


QuitBit เป็นไฟแช็คอัจฉริยะตัวแรกของโลกที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่จุดบุหรี่ได้อย่างเดียว  แต่สามารถ ติดตามสถิติการสูบบุหรี่ในแต่ละวันของคุณได้ด้วย  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ใช้ลดละเลิกบุหรี่ได้ในที่สุด

ข้อมูลที่ QuitBit ไฟแช็คอัจฉริยะนี้สามารถติดตามเก็บได้คือจำนวนบุหรี่ที่สูบในแต่ละวัน  ระยะเวลาทั้งหมดหลังจากสูบบุหรี่มวนล่าสุด  โดยข้อมูลดังกล่าวนีจะแสดงผ่านแอพฯบน Smartphone ซึ่งรองรับทั้งบน iOS และ Android


นอกจากเก็บข้อมูลการสูบบุหรี่ได้แล้ว  คุณยังสามารถตั้งค่าจำนวนครั้งที่จะสามารถจุดไฟแช็กได้หรือตั้งเวลาที่จะจุดไฟได้ด้วย  พูดง่ายๆก็คือสามารถกำหนดลิมิตในการสูบบุหรี่ต่อวันของคุณได้นั่นเอง
ณ ขณะนี้เจ้าไฟแช็คอัจฉริยะนี้ยังไม่มีวางจำหน่าย  เพราะเป็นโครงการที่กำลังระดมทุนอยู่ผ่านเว็บไซต์ >> KickStarter  << หากสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ตาม  แม้จะมีไฟแช็คอัจฉริยะนี้แล้ว  คุณก็ยังต้องมีวินัยอย่างมากอยู่ดีในการลดละเลิกบุหรี่  นอกจากนี้การบอกกล่าวแก่คนรอบข้างไว้ว่าคุณจะเลิกบุหรี่ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก  เขาจะได้ไม่ยื่นไฟแช็กของเขาให้คุณจุดบุหรี่ไง

 

 

ที่มา:www.arip.co.th 

เทคโนโลยีใหม่ Archival Disc ความจุ 300GB เก็บได้นาน 50 ปี


Sony และ Panasonic ได้ร่วมกันเปิดตัวระบบแผ่นออพติคัลดิสก์ข้อมูลแบบใหม่ชื่อว่า Archival Disc มีจุดเด่นที่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากและเก็บรักษาตัวแผ่นให้ใช้งานได้ยาวนานถึง 50 ปี  ตัวแผ่น Archival Disc นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาและขนาดเท่ากับแผ่น DVD หรือ Blu-ray ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทางผู้ผลิตตั้งใจเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรมากกว่าผู้ใช้ทั่วไปตามบ้าน ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีความต้องการในการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก และต้องการเก็บเอาไว้เป็นเวลานาน อาทิเช่น อุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ หรือศูนย์ข้อมูลต่างๆ

เทคโนโลยีนี้จะสามารถรองรับความจุได้ 300GB ถึง 1TB ต่อแผน มีกำหนดที่จะออกวางขายในช่วงกลางปี 2015 ที่จะถึงนี้


ที่มา : beartai.com

วิธีใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัย


ผู้ใช้คอมและสมาร์ทโฟน ส่วนใหญ่จะหา wi-fi ฟรีเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตในการทำงานต่างๆและติดต่อสื่อสารกับเพื่อน และชมความบันเทิงจากทั่วโลก แต่อย่าลืมว่าการใช้ wi-fi ฟรีสาธารณะนั้น ก็ต้องระวังจากกลุ่ม hacker ที่จ้องจะขโมยข้อมูลส่วนตัวเช่น password และข้อมูล social network และข้อมูลสำคัญอื่นๆเช่น e-banking , email , และเอกสารสำคัญด้วย ดังนั้นเรามาดูกันว่า การใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัยต้องทำอย่างไรบ้าง ?

1.เลือก Hotspot Wi-FI ที่น่าเชื่อถือ    ควรสอบถามจากเจ้าของสถานที่ ว่าที่นี่มีรายไหนบ้างที่ให้บริการฟรี ไม่ใช่เจอ hotspot คำว่า wi-fi free ก็ คลิก connect ไปเลย ซึ่งจะเสี่ยงโดนขโมยข้อมูลได้
2. หากมีการใส่รหัสผ่านควรตรวจสอบว่าเข้ารหัสแบบ https://   หรือเปล่า..  ถ้าใช่ก็ปลอดภัย
3. ใช้งาน wi-fi สาธารณะเสร็จควร logout ออกทุกครั้ง ในกรณีที่ใช้ wi-fi ด้วย username และ password ผ่านทางเว็บไซต์
4. ใช้งานผ่าน wifi เสร็จแล้ว คลิกขวา บน hotspot wi-fi แล้วเลือก forgot this network   เพื่อออกจากระบบ
5. ปิดการแชร์พวกปริ้นเตอร์ และ แชร์ไฟล์บนเครือข่าย Network  เพื่อป้องกันคนแฮกระบบเข้าถึงข้อมูลไฟล์ ในกรณีคุณใช้ wi-fi สาธารณะ




ที่มา: it24hrs
http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=319

Microsoft Office จับมือ Dropbox เชื่อมการทำงานทั้งคู่เข้าด้วยกัน

เมื่อสองการทำงานอย่าง Microsoft Office และ Dropbox ประกาศความร่วมมือกัน ผลลัพธ์ที่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองมาดูกัน


ทั้ง Microsoft Office และ Dropbox  เปิดเผยว่า ได้ตกลงความร่วมมือกันในการใช้งานทั้งคู่ให้เอื้อกันมากขึ้น โดยหลังการอัปเดตแล้ว ผู้ใช้งาน Office จะสามารถเปิด แก้ไขงาน แชร์ไฟล์ใน Dropbox ได้จากภายในแอพฯ ของ  Microsoft Office เอง และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในเอกสาร ก็จะทำการซิงค์โดยตรงกับ Dropbox และ สามารถเชิญคนอื่นมาร่วมแก้ไขงานด้วยการแชร์ลิงค์ไฟล์บน Dropbox ได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขงานใน Dropbox ได้ทันที หรือนำไปเปิดในแอพฯ Office เพื่อให้ใช้งานฟังก์ชันได้มากกว่า


แม่ว่า Microsoft จะมี OneDrive  อยู่แล้ว แต่การขยายไป Dropbox ที่ผู้ใช้นิยมกว่า อาจทำให้ได้ประโยชน์จากการใช้งานที่ถูกใจผู้ใช้ยิ่งขึ้น เพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Google อีกทีหนึ่ง โดย Dropbox กล่าวว่า จะอัปเดตลง Android และ iOS ในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ และ Windows phone กับ Windows Tablet จะมาภายในเดือนนี้พร้อมกับแอปฯ Dropbox ที่กำลังจะออก ส่วนบนเว็บไซต์อาจจะต้องรอจนกระทั่งผ่านครึ่งปีหน้าไปก่อน ถึงจะได้ใช้


  ที่มา:arip
   http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=636

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เตือนภัยไซเบอร์ 5 พฤติกรรม..ที่ทำให้ข้อมูลในมือถือหายไป!!



พฤติกรรม 5 แบบที่ทำให้คุณ..สูญเสียข้อมูลสำคัญในมือถือ มายด์เทอร่า ผู้ให้บริการระบบไอทีซีเคียวริตี้แบบครบวงจร เตือนภัยเหล่าไซเบอร์ทั้งหลาย..ถ้าหากว่าคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงๆเหล่านี้ อาจจะทำให้ข้อมูลสำคัญในมือถือหายไป



           1. แชร์ Gmail ID ร่วมกับผู้อื่น (ถ้าใน iOS คือ Apple ID)


             2. Jailbreak หรือ Root หรือ ลงแอพตู้


            3. โดนดักข้อมูลจากการเชื่อมต่อ Wifi สาธารณะที่ไม่ปลอดภัย


               4. ติดไวรัสจากการไม่อ่าน App Permission ให้รอบคอบ


               5. โทรศัพท์หาย หรือ ถูกขโมย
          พฤติกรรมที่ควรระวัง และควรหลีกเลี่ยง



ที่มา: flashfly
http://www.youtube.com/watch?v=OJtDcLZ_be0

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จัดไป! 6 เทคนิคเพื่อชาวโซเชียล แชต แชร์ ได้ชิคและปลอดภัย




เพราะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังไม่ใส่ใจความปลอดภัยมากนัก! ผู้เชี่ยวชาญเผยแฮกเกอร์เห็นช่องว่าง เล็งโจมตีโซเชียลเน็ตเวิร์กหนัก เตือนคนเล่น แชต แชร์ แบบไม่คิด เสี่ยงตกเป็นเหยื่อ...

แม้ว่า พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กและการออนไลน์ จะแพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน แต่เช่ือหรือไม่...? ว่าผู้ใช้ยังคงให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในระดับต่ำ
สอดคล้องกับ ผลการสำรวจเรื่อง Consumer Security Risks Survey 2014 : Multi-Device Threats in a Multi-Device World โดยบริษัท บีทูบี อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับแคสเปอร์สกี้ แลป ซึ่งระบุว่ามีกลุ่มคนจำนวนน้อยมากที่เข้าใจความเสี่ยงที่มากับการใช้โซเชีย ลเน็ตเวิร์ก โดยเฉพาะคนที่ใช้โมบายดีไวซ์เพื่อเข้าไซต์โซเชียลต่างๆ แม้การสื่อสารทางโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นเป็นที่นิยมติดอันดับสามรองจากการ เช็กอีเมล์และการอ่านคอนเทนต์ทั่วไป ขณะที่เทรนด์การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กผ่านโมบายดีไวซ์ก็ค่อนข้างสูงตามติด เครื่องพีซี



อย่าไว้ใจว่าสิ่งที่เราใช้เป็นประจำจะปลอดภัย...
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 78% ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจของอาชญากรไซเบอร์ ทั้งยังไม่คิดว่ามีอันตรายอะไรกับกิจกรรมโซเชียลเน็ตเวิร์กของตน โดยการสำรวจพบว่า 1 ใน 10 คนเคยพูดคุยข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า ขณะที่ 15% ส่งข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ได้เปิดเผยที่ใดผ่านทางโซเชียล ยิ่งไปกว่านั้น 12% ระบุว่าตนเองกรอกข้อมูลออนไลน์แอคเคาท์เมื่อใช้เครือข่ายไว-ไฟสาธารณะ โดยมีเพียง 18% เท่านั้น ที่คิดว่าตนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไปหรือเปล่า และอีก 7% ให้ความสำคัญว่าการติดต่อทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นหนึ่งในข้อมูลหลักที่เกรง กลัวว่าจะสูญเสียไปมากที่สุด

และเป็นไปตามคาด... เพราะผู้ใช้โมบายล์มักตกอยู่สถานการณ์ล่อแหลม โดยมี 6% ระบุว่าเคยโดนแฮกเกอร์ยึดแอคเคาท์ และอีก 13% เป็นของกลุ่มที่ใช้แท็บเล็ตแอนดรอยด์




เห็นลิงก์แปลกใหม่ ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องคลิกอยู่เสมอ.....
แล้วจะทำอย่างไร เมื่อเราเป็นพวกใจรักการออนไลน์และใช้โซเชียลแบบ non stop ขาดกันไม่ได้! เราขอแนะนำ 6 วิธีธรรมดาแสนง่ายดาย แต่สามารถเลี่ยงความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อโซเชียลได้ชะงักนัก...!
1. ใช้พาสเวิร์ดที่เหมาะสมและเดายาก และยกเลิกฟังก์ชั่นการเติมเต็มพาสเวิร์ดอัตโนมัติ (auto-complete function) โดยเฉพาะเวลาที่คุณใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
2. ระมัดระวังข้อมูลที่แชร์บนเน็ตเวิร์ก ถ้ามีเรื่องราวที่คุณต้องการแบ่งปันกับกลุ่มเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง ก็ควรแบ่งเป็นกลุ่ม "friends" เพื่อจัดข้อมูลส่วนตัวที่คุณเลือกจะแชร์เฉพาะกับคนที่ไว้วางใจเท่านั้น



ลิงก์วิดีโอกลายเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายคนตกเป็นเหยื่อ
3. อย่าดาวน์โหลดไฟล์ อย่าคลิกลิงก์ต่างๆ ที่ไม่แน่ใจแหล่งที่ส่งมา เรื่องนี้ต้องจำกัดกรอบให้ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองซักหน่อย ถ้าไม่มั่นใจกับลิงก์แปลกๆ ก็อย่าไปสนใจคลิกมันเลย
4. ก่อนจะกรอกข้อมูลส่วนตัวควรตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่ใช่เพจปลอม เนื่องจากปัจจุบันอาชญากรออนไลน์ก็พยายามสร้างสรรค์วิธีลวงข้อมูลสำคัญจาก ผู้ใช้ที่ไม่ค่อยคำนึงถึงความปลอดภัย เพื่อมาหลอกเอายูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดของคุณ
5. เลือกใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายที่ปลอดภัย เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่าปล่อยใจไปกับเครือข่ายไว-ไฟฟรี ที่ไม่น่าเชื่อถือ และหากเป็นไปได้คุณควรหลีกเลี่ยงการใส่ล็อกอินและพาสเวิร์ดเมื่อต่อเชื่อม กับฮอตสปอต หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็ควรใช้พาสเวิร์ดเมื่อมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์เฉพาะเครือข่ายที่ไว้ใจได้เท่านั้น
6. หาโซลูชั่นปกป้องเครื่อง แม้ว่าคุณอาจแน่ใจว่าดีไวซ์ที่คุณใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นมีระบบป้องกันดี พอ แต่ก็ควรเลือกใช้โซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยมาเพิ่มเกราะป้องกันให้อุปกรณ์ของคุณด้วย


เช็กความปลอดภัยให้ชัวร์ เพื่อการใช้งานโซเชียลแบบไร้ความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม จากสถิติในปี 2556 พบว่าแฮกเกอร์ให้ความสนใจโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Kaspersky Security Network ระบุว่าแคสเปอร์สกี้ แลป สามารถสกัดจับการหลงเข้าฟิชชิ่งเพจ (เพจปลอม) ได้มากกว่า 600 ล้านครั้ง และกว่า 35% ของเพจเหล่านี้เลียนแบบโซเชียลเน็ตเวิร์กไซต์ ขณะเดียวกันการสำรวจยังพบว่า 40% ของยูสเซอร์เคยได้รับข้อความน่าสงสัยชักชวนให้คลิกเข้าลิงก์ต่างๆ หรือดาวน์โหลดไฟล์ และอีก 21% ยังระบุว่าเคยได้รับอีเมล์ที่อ้างว่าส่งมาจากโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อขอ ข้อมูลส่วนตัวอีกด้วย
นี่หมายถึงความเสี่ยงจากการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งจะแน่ใจได้แค่ไหน ว่าคุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง...?


ที่มา: thairath

          http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=597

Thai Thumb แฟลชไดร์ฟ 4 GB ฝีมือคนไทยผลิตจากพลาสติกย่อยสลายได้



บริษัท คอนเซปต์ ทรี จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Thai Thumb อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูล ขนาดบรรจุ 4 GB ผลิตจากพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ มีส่วนผสมของยางธรรมชาติ ดีไซน์โดยคนไทยและผลิตทุกอย่างในประเทศไทย


เป็นครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนที่ผลิตจากพลาสติกชีวภาพในเชิงพาณิชย์ มีส่วนผสมของยางพารา เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราได้ทางหนึ่ง ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรกรรม สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท คอนเซปต์ ทรี จำกัด www.concept-tree.net

ที่มา: flashfly
           http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=630

วิวัฒนาการการเก็บข้อมูล


จากยุคเริ่มต้นในปี 1745 การเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เริ่มจากการใช้กระดาษเจาะรู (punch card) และมี วิวัฒนาการการเก็บข้อมูล พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจาก กระดาษเจาะรู เป็นเทปแม่เหล็ก ตลับเทป ฮาร์ดดิสก์ CD แผ่นดิสก์ SD card USB Drive และจนถึงปัจจุบัน ที่การเก็บข้อมูลลอยอยู่บนก้อนเมฆซะแล้ว ทีอนาคตว่ากันว่า จะเป็นยุคการเก็บข้อมูลแบบโอโลแกรมที่เก็บข้อมูล 1 TB ในพื้นที่เพียง 1 เซ็นติเมตรเท่านั้น จากหน่วย BYTE หรือ 8 bit ตอนนี้ก็เริ่มมีการพูดถึงหน่วย EXABYTE หรือ 1,000,000,000,000,000,000 bytes กันแล้ว มาดู infographics นี้กันว่า วิวัฒนาการของการเก็บข้อมูลจากยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง ?

evolution data storage มาดูวิวัฒนาการของการเก็บข้อมูลจากกระดาษเจาะรู สู่โฮโลแกรม [infographic]

ที่มา  http://iphone-drill.blogspot.com/2014/03/iphoneapptube-evad3rs-plus-6-more.html

ผุดแอพฯแก้โจทย์เลข เพียงใช้กล้องส่อง

ผุดแอพฯแก้โจทย์เลข เพียงใช้กล้องส่อง (มีคลิป)

เปิดตัวแอพ 'โฟโต้แมทฮ์' ช่วยแก้โจทย์เลขง่ายๆ เพียงใช้กล้องส่องไปที่โจทย์
         ลำพังเครื่องคิดเลขคงไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนอีกต่อไป เมื่อผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นอย่าง 'ไมโครบลิงค์' (MicroBLINK) ได้เปิดตัว 'โฟโต้แมทฮ์' (PhotoMath) แอพพลิเคชั่นช่วยแก้สมการเลขอย่างง่ายๆ เพียงแค่นำกล้องของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตไปส่องโจทย์แล้วรอเพียง 1-2 วินาที แอพพลิเคชั่นก็จะเฉลยคำตอบมาให้อย่างเสร็จสรรพ แถมยังแสดงวิธีทำโดยละเอียดมาให้ดูอีกด้วย
         
         ทั้งนี้แอพฯโฟโต้แมทฮ์รองรับการจับภาพเฉพาะตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เท่านั้น ซึ่งอาจจับภาพจากบนหนังสือเรียนหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่ยังไม่รองรับการแก้โจทย์ที่ถูกเขียนด้วยลายมือ

          แอพฯโฟโต้แมทฮ์เปิดให้ใช้อุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ iOS และ Windows Phone สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีแล้ว ส่วนผู้ใช้แอนดรอยด์ต้องรอกันไปจนถึงช่วงต้นปีค.ศ.2015

ที่มา : phonearena.com, bgr.com, youtube.com






วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

5 เทคนิคความจำ ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น

  
หากคุณอยากหัวไว อยากรู้ได้เร็วกว่าคนอื่นแล้วละก็ วันนี้ PresentationX มีเทคนิคกระตุ้นสมองเพิ่มความจำมาฝาก เป็นวิธีที่ง่ายๆ ที่นักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาได้วิจัยออกมา ว่ามันสามารถช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ แต่อาจจะมีบางข้อที่ทุกคนอาจจะคิดว่า มันจะจริงหรอยังไงก็ลองอ่านดูเผื่อบางข้อสามารถนำไปปรับใช้ได้กับตัวคุณเองได้
photo1

อ่านหนังสือ
           การอ่านหนังสือเป็นเล่มไม่ได้ช่วยแค่ฝึกการมองเห็นเท่านั้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การอ่านหนังสือเป็นเล่มมันให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด!
           นักวิทยาศาสตร์ พบว่า สมองจะเริ่มบันทึกความจำ ตั้งแต่เราสัมผัสสิ่งๆ นั้น มันจึงทำให้การอ่านหนังสือเป็นเล่มนั้นดีกว่าการอ่านแบบ Digital หรือพวก E-book เพราะสมองจะเริ่มบันทึกความทรงจำจากการที่เราหยิบจับหนังสือขึ้นมาถืออยู่บนมือ น้ำหนักมือของเราเวลาพลิกหนังสืออ่าน แต่ละหน้า หรือนอกจากการหยิบจับหนังสือแล้ว การอ่านออกเสียงก็ช่วยให้ความจำดีขึ้นเช่นกัน และผลวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า สมองบันทึกความทรงจำ ด้วยความเคลื่อนไหว การสัมผัสของร่างกาย

การแต่งงานจะช่วย แป่งปัน ความจำระหว่างคุณและคู่รักของคุณ


photo2



          ผลวิจัยพบว่า คนที่คบกันเวลานานๆ จะแบ่งปันความจำซึ่งกันและกัน เหมือนเวลาเรา นึกถึงชื่อคน หรือนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
          เวลาคู่รัก อยู่ด้วยกันนานๆ พวกเขาจะมีความรับผิดชอบในความคิดขึ้นมาในทางเดียวกัน เช่น พวกเขารู้ว่าต้องแยกกันทำงานบ้าน แบบไหนบ้าง

          นักเขียนจิตวิทยาคนหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตุว่า ไม่ใช่เพียงแค่คู่รักที่อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานๆ เท่านั้น แต่มันเหมือนการกระจายความรู้ซึ่งกันและกันด้วย เหมือนสุภาษิตที่ว่า สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

photo3

    เขียนระบายอารมณ์
ผลการวิจัยจากนักจิตวิทยากว่า 30 ปีพบว่า การเขียนระบายความรู้สึก” – คือการเขึยนเกี่ยวกับประสบการณ์แย่ๆ ลงในกระดาษอย่างน้อย 15 นาที ประสบการณ์ การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการเขียนระบายความรู้สึก จะทำให้เราเกิดความครุ่นคิดและจดจ่อ ระหว่างการเขียน ซึ่งจะช่วยให้ความของเลือดสูบฉีด แล้วกระตุ้นให้สมองบันทึกความจำได้เร็วขึ้น
             มีนักจิตวิทยากล่าวไว้ว่า การเขียนระบายความรู้สึก จะช่วยเพิ่มความจำ เพราะมันเป็นการเปิดเผยความคิดของพวกเขาในอีกทางหนึ่ง และในขนาดนั้นเอง เมื่อใช้พลังงานเพิ่มขึ้น พลังงานเหล่านี้ก็กระตุ้นความจำในสมองให้เพิ่มขึ้น
photo4


เดินผ่านสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ
              นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Michigan ได้ทำการทดลองแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 2 กลุ่มทำแบบทดสอบ  โดยปล่อยให้พวกเขาเดิน กลุ่มแรกให้เดินผ่านสิ่งแวดล้อมที่เป็นเมือง และอีกกลุ่มหนึ่งเดินเที่ยวในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ จากนั้นเรียกกลับมาทดสอบอีกครั้ง และผลปรากฎว่ากลุ่มที่ให้เดินในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ทำแบบทดสอบได้ดีขึ้น 20%

photo5

                  
                 เอาความรู้เดิมที่มีอยู่ มาประกอบกับความรู้ใหม่
         ยิ่งคุณมีความเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้คุณมีความคิดเชื่อมโยงมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น คุณเรียนกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับการส่งผ่านความร้อน แทนที่จะจดจำเกี่ยวกับความหมายของมัน ว่าความร้อนถูกเครื่องย้ายจากวัตถุที่ร้อนไปยังวัตถุที่เย็นกว่า คุณอาจจะลองยกตัวอย่างเช่น การเอาโกโก้ร้อนมาอังมือไว้ในวันที่อากาศเย็น ก็จะทำให้เห็นและเข้าใจภาพมากขึ้นเพราะในสมองของเรามีการเชื่อมโยงความคิดเกิดขึ้นแล้ว


ขอบคุณข้อมูลจาก

www.businessinsider.com

ใช้ 'คอมฯ-สมาร์ทโฟน' นานทำสายตาสั้น

/data/content/26066/cms/e_cdegtuz24567.jpg


 สธ.ชี้สถานการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนท่องเน็ตในคนไทยเพิ่มขึ้น เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง และพบเด็ก เยาวชนสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากการเพ่งจอนาน
          นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนตุลาคม ทุกปี องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) กำหนดให้เป็นวันสายตาโลก (World Sight Day) ในปี 2557 นี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาตาบอด ปัญหาสายตาเลือนราง องค์การอนามัยโลกรายงานพบประชากรโลกตาบอดปีละประมาณ 7 ล้านคน สาเหตุร้อยละ 80 สามารถป้องกันได้ ส่วนใหญ่มาจากปัญหาตาต้อกระจก ผู้ที่มีปัญหาความพิการทางสายตา ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุ
          นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจจากสำนักส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ล่าสุด ในเดือนกันยายน 2557 ทั่วประเทศมีผู้พิการทางการมองเห็น 171,597 คน โดยโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดที่สำคัญ 5 โรค ได้แก่ โรคต้อกระจก ต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก และโรคของกระจกตา จากการสำรวจล่าสุดในช่วงปี 2549-2550 พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59 และสายตาเลือนรางร้อยละ 1.57 กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไขและป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน จะมีความเสี่ยงเกิดเบาหวานขึ้นจอประสาทตาและตาบอดสูงกว่าคนทั่วไป รวมทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่เลนซ์ตาเสื่อมตามวัย ซึ่งไทยมีผู้สูงอายุ 60 ปี เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน โดยเน้นการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาความผิดปกติ และกระจายศูนย์เชี่ยวชาญโรคทางตาประจำเขตสุขภาพทั้ง 12 เขตทั่วประเทศ ประชาชนสามารถรับบริการใกล้บ้านที่สุด
          ด้านนายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี กล่าวว่า ปัญหาสายตาที่น่าห่วงขณะนี้ เป็นปัญหาจากการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ประชาชนใช้สายตาในเรื่องนี้มาก ผลสำรวจล่าสุด คนไทยใช้มือถือประมาณ 41 ล้านคน ใช้คอมพิวเตอร์ประมาณ 20 ล้านคน ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 15 ล้านคน โดยโทรศัพท์ที่นิยมส่วนใหญ่เป็นสมาร์ทโฟน ซึ่งมีสาระการใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างในเครื่องเดียว ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี 2557 ระบุว่าประชาชนไทยใช้สมาร์ทโฟน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากที่สุดร้อยละ 77 โดยเฉลี่ยใช้เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่ใช้เฉลี่ยวันละ 4.6 ชั่วโมง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประชาชนใช้สายตาเพ่งข้อมูลในสมาร์ทโฟนยาวนานขึ้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดสายตาผิดปกติเพิ่มขึ้น
          จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวต่อว่า สายตาผิดปกติ จะมีทั้งสั้น ยาว และเอียง การเล่นคอมพิวเตอร์ในเด็กวัยประถม คืออายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก จะทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียม หรือสั้นชั่วคราวและสั้นถาวร โดยอัตราการเกิดปัญหาสายตาสั้นขณะนี้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว จากที่เคยพบร้อยละ 8 ของจำนวนประชากรที่สายตาสั้น เป็นร้อยละ 30 ซึ่งจะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน เด็กจะมองตัวหนังสือบนกระดานไม่ชัด ทำให้จดข้อมูลและเรียนไม่ทันเพื่อน และเกิดปัญหาเด็กเบื่อหน่ายการเรียน ไม่อยากเรียนต่อไป นอกจากนี้จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการเพ่งสายตา และส่งผลต่อการทำงานในบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร เป็นต้น
          นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 15 ปี จะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหา เมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้อาการปวดศีรษะไมเกรนกำเริบ หากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติ จะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ สำหรับวัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์ หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
          นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อไปว่า การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตอย่างถูกวิธี มีข้อแนะนำดังนี้ 
       1.กรณีเป็นผู้ที่มีปัญหาทางด้านสายตาหรือสายตาผิดปกติอยู่แล้ว ควรเล่นไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง 
       2.ไม่ควรเล่นอุปกรณ์ดังกล่าวในห้องมืดๆ ควรปรับความสว่างหน้าจอให้มีความพอดีกับความสว่างของห้อง แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลังเข้าหาจอ
      3.ให้ปรับความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับ 70-80 เฮิร์ตหรือสูงสุดเท่าที่รู้สึกว่าสบายตา 
      4.การเลือกตัวหนังสือในจอควรใช้ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาวเพื่อให้เห็นชัดเจน ไม่แนะนำให้ใช้พื้นสีเข้มตัวหนังสือสีขาวหรือสีอ่อน เนื่องจากจะทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งตัวหนังสือเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว บางคนต้องหรี่ตาเพื่อลดแสงเข้าตา 
      5.หากเป็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ควรใช้แผ่นกรองแสงและดูแลทำความสะอาดหน้าจอไม่ให้มีฝุ่นเกาะ เพื่อให้มองเห็นชัดเจน และควรนั่งเล่นในท่าที่ถูกต้องคือเหมือนนั่งอ่านหนังสือ ระยะห่างของสายตากับแท็บเล็ตหรือมือถือประมาณ 1-2 ฟุต  
       ทั้งนี้ สิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อถนอมสายตาคือ ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน เกิน 25-30 นาที และต้องพักสายตาอย่างน้อย 1-5 นาที ควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้ดวงตามีความชุ่มชื้น ไม่ต้องพึ่งน้ำตาเทียม และพักผ่อนนอนหลับเป็นเวลา 7 ชั่วโมงเพื่อให้ประสาทตาได้พักการใช้งาน
  
          ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โรคทางดวงตา ภัยร้ายที่ถูกลืมในยุคสังคมก้มหน้าโรคทางดวงตา ภัยร้ายที่ถูกลืมในยุคสังคมก้มหน้า

/data/content/26087/cms/e_adefhiquwx15.jpg
          จักษุแพทย์ห่วงสังคมก้มหน้า ส่งผลให้ดวงตาโดนทำลายโดยไม่รู้ตัว เตือนการเพ่งจอเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมทำร้ายเซลล์ตา และมีปัญหาโรคทางสายตาก่อนวัยอันควร แนะพักสายตาทุกๆ 30 นาที และเสริมผัก-ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยถนอมสายตา
          ดวงตานับเป็น 1 ในประสาทสัมผัสทั้งห้าที่สำคัญ เป็นอวัยวะที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ การสังเกต และการจดจำ รวมทั้งเป็นส่วนที่สามารถสื่อสารความรู้สึกต่างๆ ไปถึงคนรอบข้างได้อีกด้วย แต่กลับเป็นอวัยวะที่มักจะถูกมองข้ามไป จนไม่ได้รับการดูแล เอาใจใส่ให้มีสุขภาพที่ดี จนกระทั่งเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น โดยเฉพาะในยุคดิจิตอล ที่การสื่อสารสามารถทำได้ง่ายมากเพียงปลายนิ้วในทุกที่ทุกเวลา ยิ่งทำให้ดวงตารับบทหนักต้องเพ่ง ต้องจ้องหน้าจอต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
          ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ประจำปี 2014 โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์ในปี 2557 เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 50.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน (หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของวันเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต) ขณะปี 2556 มีตัวเลขการใช้งานอินเตอร์เน็ตโดยเฉลี่ย 32.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 4.6 ชั่วโมงต่อวัน
          สอดคล้องกับข้อมูลการใช้โซเซียลมีเดีย และสมาร์ทโฟน ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเฟสบุ๊คของคนไทยที่มีมากถึง 28 ล้านราย คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 53 เช่นเดียวกับยอดผู้ใช้ LINE คนไทยติดเป็นอันดับ 2 ของโลก ทะลุ 24 ล้านคน ส่วนอัตรการใช้มือถือ พบว่าชาวไทยกว่าร้อยละ 85 ติดมือถืออย่างหนักจนขาดไม่ได้ ยังไม่รวมถึงการใช้จอคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงาน และการดูทีวี ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาถูกทำลายโดยไม่รู้ตัว
          นพ. พิษณุ พงษ์สุวรรณ จักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่าคนไทยมีปัญหาโรคตาที่มีสาเหตุจากการใช้คอมพิวเตอร์ และจอต่างๆเพิ่มมากขึ้นทุกปี ผลพวงจากความสะดวก และความทันสมัยของการสื่อสารในปัจจุบัน ทำให้เราเสพติดการสื่อสาร ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน เราก็มันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์บอกเพื่อนผ่านโปรแกรมแชท และผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอยู่เสมอจนติดเป็นนิสัย จนทำให้เราลืมไปว่าดวงตาของเรากำลังถูกใช้งานอย่างหนักเกินความจำเป็น เพราะการมองหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจอสมาร์ทโฟน จอแทปเล็ต จอคอมพิวเตอร์ และจอโทรทัศน์ ตลอดเวลา และติดต่อกันเป็นเวลานาน ดวงตาของเราจะต้องเจอกับแสงจ้าจากหน้าจอดังกล่าว เกิดอนุมูลอิสระสะสม จนอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาของเราได้ เช่น อาจจะเกิดการระคายเคือง น้ำตาไหล ตาแห้ง ตาอักเสบ เกิดสายตาพร่ามัว จากกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า มีอาการมองเห็นภาพซ้อน รวมถึงอาการแพ้แสง จนมีการจัดกลุ่มอาการต่างๆนี้รวมกันเรียกว่า โรคคอมพิวเตอร์วิชันซินโดรม ซึ่งนอกจากตาแล้วยังทำให้มีอาการปวดศีรษะ บ่า และคอร่วมด้วย
          เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าเมื่อดวงตาเกิดความผิดปกติแล้วจะสามารถกลับมามองได้ชัดเหมือนเดิมหรือไม่ เราควรป้องกันการเกิดความผิดปกติต่างๆ กับดวงตา เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ดวงตา เช่น หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ ควรหมั่นพักสายตา 2-3 นาที ต่อการใช้สายตาทุกๆ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง และกระพริบตาบ่อยๆ 10-15 ครั้งต่อนาที
          และควรใช้สายตาในการทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเท่าที่จำเป็น รวมถึงนั่งทำงานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ปรับขนาดตัวหนังสือให้อ่านง่าย นอกจากนี้เวลาอยู่ในที่กลางแจ้งที่มีแดดจ้า หรือเวลาขับรถในเวลากลางวันควรใส่แว่นกันแดด เพื่อลดปริมาณแสงแดดเข้าสู่ดวงตาที่นำมาซึ่งความเสื่อม และความผิดปกติของดวงตา
          เมื่อเราป้องกันปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกแล้ว เราก็ควรจะบำรุงดวงตาจากภายในด้วยอาหารบำรุงดวงที่มีประโยชน์ควบคู่ไปด้วย เช่น การเลือกผักและผลไม้ที่มีวิตามิน เอ สูง ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของดวงตา รวมทั้งช่วยป้องกันความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตา ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระพบมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เช่น บิลเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และแบล็คเคอร์แรนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ที่สำคัญที่สุด ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และหากเกิดความผิดปกติของดวงตาควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที

 ที่มา : เว็บไซต์ไทยพีอาร์