วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Samsung ยื่นจดสิทธิบัตรสุดแนว ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากการสัมผัสหน้าจอ

ในช่วง อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ US Patent & Trademark Office ได้ทำการเปิดเผยสิทธิบัตรที่ถูกยื่นจดโดย Samsung ที่เนื้อหาภายในเกี่ยวกับการสร้างพลังงานไฟฟ้าโดยการสัมผัสหรือถูไปที่หน้า จอโดยใช้ triboelectric generators ซึ่งจะถูกนำมาใช้งาน(รึเปล่ายังไม่มีใครทราบได้) บนผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาในอนาคต โดยเป้าหมายก็คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์นั้นๆ ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องชาร์จไฟบ่อยๆ

เทคนิค triboelectric generators นี้คือการใช้วัสดุ 2 ชนิดขึ้นไปสัมผัสกันจนทำให้เกิดสภาพขั้วไฟฟ้าที่ต่างกันบนวัสดุทั้ง 2 (เหมือนกับการเกิดไฟฟ้าสถิตย์ที่เอาแท่งอำพันถูกับผ้าแพร จะทำให้แท่งอำพันเกิดไฟฟ้าสถิตย์) โดยผู้ที่นำเทคนิคนี้มาประยุกต์ใช้ก็คือศาสตราจารย์ Wang แห่ง Georgia Institute of Technology ได้นำหลักการนี้มาสร้างพลังงานโดยพึ่งพาพลังงานกลจากการออกแรงกระทำต่อแผ่น วัสดุขั้วไฟฟ้าที่วางซ้อนกัน โดยจะเป็นไปดังคลิปวีดีโอดังต่อไปนี้


สำหรับสิทธิ บัตรของทาง Samsung นั้นได้อ้างอิงหลักการดังกล่าวในข้างต้นว่าการสัมผัสหรือถูไปที่หน้าจอของ อุปกรณ์จะสามารถที่จะนำพลังงานไฟฟ้าส่งกลับไปที่ยังตัวอุปกรณ์ได้(อุปกรณ์ นั้นน่าจะเป็นสมาร์ทโฟนมากกว่าแท็บเล็ท แต่ทว่าก็ยังไม่แน่นอนมากนักว่าจะใช้กับสมาร์ทโฟนได้เพียงอย่างเดียวหรือ ไม่) ซึ่งภายใต้หน้าจอของอุปกรณ์จะมีแผ่นขั้ววัสดุไฟฟ้า(ที่บางกว่า 1 mm) ซ้อนกันอยู่แล้วอาศัยหลักการข้างต้นในการสร้างพลังงานไฟฟ้า


สำหรับสิทธิ บัตรของทาง Samsung นั้นไม่ได้จะใช้แต่เพียงเทคนิค triboelectric generators เท่านั้นครับ เนื่องจากว่าอาจจะมีการใช้เทคนิค piezoelectric generator ร่วมด้วยโดยเทคนิค piezoelectric generator นั้นจะทำการสร้างพลังงานไฟฟ้าโดยการวัดระดับแรงดันของวัตถุ(เมื่อมีการแรงกด วัตถุจะเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น) โดยจะใช้วัตถุเดียวกันกับที่ใช้ในเทคนิค triboelectric generators ซึ่งนั่นทำให้สิทธิบัติของ Samsung นั้นสามารถที่จะสร้างพลังงานไฟฟ้าได้ทั้ง 2 ทิศทางไม่ว่าเราจะสัมผัสหรือถูไปที่หน้าจอหรือว่าเรากดสร้างแรงดันให้กับ หน้าจอครับ ทั้งนี้ก็คงต้องรอคอยดูต่อไปว่า Samsung จะสามารถสร้างอุปกรณ์ที่ใช้งานสิทธิบัตรนี้ขึ้นมาได้จริงๆ หรือไม่ ถ้าได้จริงๆ เราคงไม่ต้องวิ่งหาปลั๊กชาร์จไฟตลอดทั้งวันอย่างที่เคยเป็นมาแล้วก็ได้

 ที่มา: notebookspec

วางจำหน่ายแล้ว!! Hydra Plastic Case เคสสำหรับ iPhone 6 ที่สามารถรักษารอยขีดข่วนเองได้ใน 30 วินาที









เราคงได้เห็น LG G Flex ที่มีความสามารถในการรักษาตัวเองได้กันไปแล้ว หลายคนคงอยากให้มันมาอยู่บนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ตัวเองใช้อยู่กันบ้าง ล่าสุดทาง Innerexile ก็ได้ออก Hydra Plastic Case สำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์รักษาตัวเองเหมือนกับ LG G Flex โดยจากวิดีโอจะเห็นว่าเคสดังกล่าวสามารถรักษาตัวเองได้จากการถูกขูดโดยแปรง ทองเหลืองด้วยน้ำหนัก 1 กิโลกรัม สูงกว่า LG G Flex ที่ทนได้ที่ 750 กรัม จะเห็นว่าสามารถคืนสภาพได้ภายใน 30 วินาที



โดย Innerexile Hydra Case นี้จะวางจำหน่ายแล้วมีให้เลือก 3 สี (แบบใส, ดำ, ชมพู) ที่ราคา $22 ประมาณ 720 บาทสำหรับ iPhone 6 และราคา $26 ประมาณ 850 บาทสำหรับ iPhone 6 Plus สนใจไปสั่งซื้อกันได้ที่



แหล่งที่มา http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=672
https://www.youtube.com/watch?v=wHPdVyN6wYY

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ที่ชาร์จมือถือไซส์มินิ!! ไม่ต้องพกแบตสำรองให้รุ่มร่ามและหนักกระเป๋าอีกต่อไป



ที่ชาร์จมือถือไซส์มินิ!! ไม่ต้องพกแบตสำรองให้รุ่มร่ามและหนักกระเป๋าอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าปัญหาแบตมือถือหมด จะแก้ได้ด้วยการพกแบตสำรอง
แต่ก็เกิดปัญหาอื่นตามมา เพราะแบตเตอรี่สำรองนั้นค่อนข้างหนัก
ถ้าให้ใส่กระเป๋ากางเกงไปใช้ในชีวิตประจำวัน คงจะไม่สะดวกนัก

นักออกแบบนาม Tsung Chih-Hsien
ได้สร้างสรรค์ผลงานคอนเซปต์การออกแบบ ‘Mini Power’
โดยคอนเซปต์การออกแบบชิ้นนี้ได้รับรางวัล Red Dot Award ประจำปี 2014 ไปครอง
mini-power02
ความพิเศษของแบตเตอรี่นี้ที่แตกต่างจากแบตสำรองพกพาทั่วไป คือ ขนาดที่เล็กมากๆ เมื่อเทียบกับแบตสำรองที่มีข้อจำกัด คือ หนักกว่า ต้องต่อสายรุ่มร่าม ขาดความคล่องตัวในการใช้งาน
mini-power03
โดย Mini Power จึงถูกออกแบบมาตอบสนองในข้อจำกัดจุดนี้
มีขนาดเล็กกะทัดรัด ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือสามารถเสียบเข้ากับโทรศัพท์และใช้งานต่อได่ตามปกติทันที ไม่ต้องเสียบสายระโยงระยางให้เกะกะอีกต่อไป
mini-power01
Mini Power ใช้พลังงานจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่กระดาษ
สามารถชาร์จไฟซ้ำและรีไซเคิลได้ ณ ร้านค้าที่จัดจำหน่าย
มีความจุหลายขนาดและราคาที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 2 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง
ที่มา: yankodesign

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 วิธี พักสายตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน

นั่งทำงานอยู่หน้าคอมนานๆต้องปวดตาใช่ไหมละผมเองก็ประสบปัญหานี้เหมือนกันที่ต้องนั้งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้า เราอาจจะประสบปัญหาเกี่ยวกับสายตาโดยไม่รู้ตัว แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขปัญหายังไงล่ะ ?


1.พักงานที่ทำไว้ แล้วออกไปรับอากาศสดชื่นข้างนอกห้อง
2.พื้นที่สบายตา หาอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้เล็กๆ หรือรูปภาพ ที่มองแล้วสบายตา มาไว้ที่โต๊ะทำงาน เพื่อเป็นจุดพักสายตา
3.หลับตา  แล้วเกลือกตาไป-มา สักพักหนึ่ง เพื่อเป็นการพักสายตา
4.อย่าขาดน้ำ ให้ดื่มน้ำตามหลักที่ควรจะดื่มต่อวัน เป็นผลดีต่อสุขภาพ และทำให้ดวงตาเราสดชื่นด้วย 
5.นวดตาแก้ปวด โดยการนวดแบบทวนเข็มนาฬิกาทีละข้าง 5-10 นาที ช่วยคลายกล้ามเนื้อ จากการมองจอเป็นเวลานาน

ลองทำตามวิธีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นดูนะ อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ไม่มากก็น้อย

 ที่มา:Advice gie

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดีไหม! ถ้าทุกครั้งที่คุณหยิบไฟแช็คมาจุดสูบบุหรี่แล้วมันช่วยย้ำเตือนให้คุณเลิกสูบบุหรี่??



ไฟแช็คน่าจะเป็นสิ่งที่คนติดบุหรี่มีติดตัวกันเป็นประจำ  แล้วจะดีไหมถ้าทุกครั้งที่คุณหยิบไฟแช็คมาจุดสูบบุหรี่แล้วมันช่วยย้ำเตือนให้คุณเลิกสูบบุหรี่??


QuitBit เป็นไฟแช็คอัจฉริยะตัวแรกของโลกที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่จุดบุหรี่ได้อย่างเดียว  แต่สามารถ ติดตามสถิติการสูบบุหรี่ในแต่ละวันของคุณได้ด้วย  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ใช้ลดละเลิกบุหรี่ได้ในที่สุด

ข้อมูลที่ QuitBit ไฟแช็คอัจฉริยะนี้สามารถติดตามเก็บได้คือจำนวนบุหรี่ที่สูบในแต่ละวัน  ระยะเวลาทั้งหมดหลังจากสูบบุหรี่มวนล่าสุด  โดยข้อมูลดังกล่าวนีจะแสดงผ่านแอพฯบน Smartphone ซึ่งรองรับทั้งบน iOS และ Android


นอกจากเก็บข้อมูลการสูบบุหรี่ได้แล้ว  คุณยังสามารถตั้งค่าจำนวนครั้งที่จะสามารถจุดไฟแช็กได้หรือตั้งเวลาที่จะจุดไฟได้ด้วย  พูดง่ายๆก็คือสามารถกำหนดลิมิตในการสูบบุหรี่ต่อวันของคุณได้นั่นเอง
ณ ขณะนี้เจ้าไฟแช็คอัจฉริยะนี้ยังไม่มีวางจำหน่าย  เพราะเป็นโครงการที่กำลังระดมทุนอยู่ผ่านเว็บไซต์ >> KickStarter  << หากสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ตาม  แม้จะมีไฟแช็คอัจฉริยะนี้แล้ว  คุณก็ยังต้องมีวินัยอย่างมากอยู่ดีในการลดละเลิกบุหรี่  นอกจากนี้การบอกกล่าวแก่คนรอบข้างไว้ว่าคุณจะเลิกบุหรี่ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก  เขาจะได้ไม่ยื่นไฟแช็กของเขาให้คุณจุดบุหรี่ไง

 

 

ที่มา:www.arip.co.th 

เทคโนโลยีใหม่ Archival Disc ความจุ 300GB เก็บได้นาน 50 ปี


Sony และ Panasonic ได้ร่วมกันเปิดตัวระบบแผ่นออพติคัลดิสก์ข้อมูลแบบใหม่ชื่อว่า Archival Disc มีจุดเด่นที่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากและเก็บรักษาตัวแผ่นให้ใช้งานได้ยาวนานถึง 50 ปี  ตัวแผ่น Archival Disc นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาและขนาดเท่ากับแผ่น DVD หรือ Blu-ray ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทางผู้ผลิตตั้งใจเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรมากกว่าผู้ใช้ทั่วไปตามบ้าน ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีความต้องการในการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก และต้องการเก็บเอาไว้เป็นเวลานาน อาทิเช่น อุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ หรือศูนย์ข้อมูลต่างๆ

เทคโนโลยีนี้จะสามารถรองรับความจุได้ 300GB ถึง 1TB ต่อแผน มีกำหนดที่จะออกวางขายในช่วงกลางปี 2015 ที่จะถึงนี้


ที่มา : beartai.com

วิธีใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัย


ผู้ใช้คอมและสมาร์ทโฟน ส่วนใหญ่จะหา wi-fi ฟรีเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตในการทำงานต่างๆและติดต่อสื่อสารกับเพื่อน และชมความบันเทิงจากทั่วโลก แต่อย่าลืมว่าการใช้ wi-fi ฟรีสาธารณะนั้น ก็ต้องระวังจากกลุ่ม hacker ที่จ้องจะขโมยข้อมูลส่วนตัวเช่น password และข้อมูล social network และข้อมูลสำคัญอื่นๆเช่น e-banking , email , และเอกสารสำคัญด้วย ดังนั้นเรามาดูกันว่า การใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัยต้องทำอย่างไรบ้าง ?

1.เลือก Hotspot Wi-FI ที่น่าเชื่อถือ    ควรสอบถามจากเจ้าของสถานที่ ว่าที่นี่มีรายไหนบ้างที่ให้บริการฟรี ไม่ใช่เจอ hotspot คำว่า wi-fi free ก็ คลิก connect ไปเลย ซึ่งจะเสี่ยงโดนขโมยข้อมูลได้
2. หากมีการใส่รหัสผ่านควรตรวจสอบว่าเข้ารหัสแบบ https://   หรือเปล่า..  ถ้าใช่ก็ปลอดภัย
3. ใช้งาน wi-fi สาธารณะเสร็จควร logout ออกทุกครั้ง ในกรณีที่ใช้ wi-fi ด้วย username และ password ผ่านทางเว็บไซต์
4. ใช้งานผ่าน wifi เสร็จแล้ว คลิกขวา บน hotspot wi-fi แล้วเลือก forgot this network   เพื่อออกจากระบบ
5. ปิดการแชร์พวกปริ้นเตอร์ และ แชร์ไฟล์บนเครือข่าย Network  เพื่อป้องกันคนแฮกระบบเข้าถึงข้อมูลไฟล์ ในกรณีคุณใช้ wi-fi สาธารณะ




ที่มา: it24hrs
http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=319

Microsoft Office จับมือ Dropbox เชื่อมการทำงานทั้งคู่เข้าด้วยกัน

เมื่อสองการทำงานอย่าง Microsoft Office และ Dropbox ประกาศความร่วมมือกัน ผลลัพธ์ที่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองมาดูกัน


ทั้ง Microsoft Office และ Dropbox  เปิดเผยว่า ได้ตกลงความร่วมมือกันในการใช้งานทั้งคู่ให้เอื้อกันมากขึ้น โดยหลังการอัปเดตแล้ว ผู้ใช้งาน Office จะสามารถเปิด แก้ไขงาน แชร์ไฟล์ใน Dropbox ได้จากภายในแอพฯ ของ  Microsoft Office เอง และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในเอกสาร ก็จะทำการซิงค์โดยตรงกับ Dropbox และ สามารถเชิญคนอื่นมาร่วมแก้ไขงานด้วยการแชร์ลิงค์ไฟล์บน Dropbox ได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขงานใน Dropbox ได้ทันที หรือนำไปเปิดในแอพฯ Office เพื่อให้ใช้งานฟังก์ชันได้มากกว่า


แม่ว่า Microsoft จะมี OneDrive  อยู่แล้ว แต่การขยายไป Dropbox ที่ผู้ใช้นิยมกว่า อาจทำให้ได้ประโยชน์จากการใช้งานที่ถูกใจผู้ใช้ยิ่งขึ้น เพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Google อีกทีหนึ่ง โดย Dropbox กล่าวว่า จะอัปเดตลง Android และ iOS ในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ และ Windows phone กับ Windows Tablet จะมาภายในเดือนนี้พร้อมกับแอปฯ Dropbox ที่กำลังจะออก ส่วนบนเว็บไซต์อาจจะต้องรอจนกระทั่งผ่านครึ่งปีหน้าไปก่อน ถึงจะได้ใช้


  ที่มา:arip
   http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=636

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เตือนภัยไซเบอร์ 5 พฤติกรรม..ที่ทำให้ข้อมูลในมือถือหายไป!!



พฤติกรรม 5 แบบที่ทำให้คุณ..สูญเสียข้อมูลสำคัญในมือถือ มายด์เทอร่า ผู้ให้บริการระบบไอทีซีเคียวริตี้แบบครบวงจร เตือนภัยเหล่าไซเบอร์ทั้งหลาย..ถ้าหากว่าคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงๆเหล่านี้ อาจจะทำให้ข้อมูลสำคัญในมือถือหายไป



           1. แชร์ Gmail ID ร่วมกับผู้อื่น (ถ้าใน iOS คือ Apple ID)


             2. Jailbreak หรือ Root หรือ ลงแอพตู้


            3. โดนดักข้อมูลจากการเชื่อมต่อ Wifi สาธารณะที่ไม่ปลอดภัย


               4. ติดไวรัสจากการไม่อ่าน App Permission ให้รอบคอบ


               5. โทรศัพท์หาย หรือ ถูกขโมย
          พฤติกรรมที่ควรระวัง และควรหลีกเลี่ยง



ที่มา: flashfly
http://www.youtube.com/watch?v=OJtDcLZ_be0

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จัดไป! 6 เทคนิคเพื่อชาวโซเชียล แชต แชร์ ได้ชิคและปลอดภัย




เพราะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังไม่ใส่ใจความปลอดภัยมากนัก! ผู้เชี่ยวชาญเผยแฮกเกอร์เห็นช่องว่าง เล็งโจมตีโซเชียลเน็ตเวิร์กหนัก เตือนคนเล่น แชต แชร์ แบบไม่คิด เสี่ยงตกเป็นเหยื่อ...

แม้ว่า พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กและการออนไลน์ จะแพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน แต่เช่ือหรือไม่...? ว่าผู้ใช้ยังคงให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในระดับต่ำ
สอดคล้องกับ ผลการสำรวจเรื่อง Consumer Security Risks Survey 2014 : Multi-Device Threats in a Multi-Device World โดยบริษัท บีทูบี อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับแคสเปอร์สกี้ แลป ซึ่งระบุว่ามีกลุ่มคนจำนวนน้อยมากที่เข้าใจความเสี่ยงที่มากับการใช้โซเชีย ลเน็ตเวิร์ก โดยเฉพาะคนที่ใช้โมบายดีไวซ์เพื่อเข้าไซต์โซเชียลต่างๆ แม้การสื่อสารทางโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นเป็นที่นิยมติดอันดับสามรองจากการ เช็กอีเมล์และการอ่านคอนเทนต์ทั่วไป ขณะที่เทรนด์การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กผ่านโมบายดีไวซ์ก็ค่อนข้างสูงตามติด เครื่องพีซี



อย่าไว้ใจว่าสิ่งที่เราใช้เป็นประจำจะปลอดภัย...
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 78% ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจของอาชญากรไซเบอร์ ทั้งยังไม่คิดว่ามีอันตรายอะไรกับกิจกรรมโซเชียลเน็ตเวิร์กของตน โดยการสำรวจพบว่า 1 ใน 10 คนเคยพูดคุยข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า ขณะที่ 15% ส่งข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ได้เปิดเผยที่ใดผ่านทางโซเชียล ยิ่งไปกว่านั้น 12% ระบุว่าตนเองกรอกข้อมูลออนไลน์แอคเคาท์เมื่อใช้เครือข่ายไว-ไฟสาธารณะ โดยมีเพียง 18% เท่านั้น ที่คิดว่าตนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไปหรือเปล่า และอีก 7% ให้ความสำคัญว่าการติดต่อทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นหนึ่งในข้อมูลหลักที่เกรง กลัวว่าจะสูญเสียไปมากที่สุด

และเป็นไปตามคาด... เพราะผู้ใช้โมบายล์มักตกอยู่สถานการณ์ล่อแหลม โดยมี 6% ระบุว่าเคยโดนแฮกเกอร์ยึดแอคเคาท์ และอีก 13% เป็นของกลุ่มที่ใช้แท็บเล็ตแอนดรอยด์




เห็นลิงก์แปลกใหม่ ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องคลิกอยู่เสมอ.....
แล้วจะทำอย่างไร เมื่อเราเป็นพวกใจรักการออนไลน์และใช้โซเชียลแบบ non stop ขาดกันไม่ได้! เราขอแนะนำ 6 วิธีธรรมดาแสนง่ายดาย แต่สามารถเลี่ยงความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อโซเชียลได้ชะงักนัก...!
1. ใช้พาสเวิร์ดที่เหมาะสมและเดายาก และยกเลิกฟังก์ชั่นการเติมเต็มพาสเวิร์ดอัตโนมัติ (auto-complete function) โดยเฉพาะเวลาที่คุณใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
2. ระมัดระวังข้อมูลที่แชร์บนเน็ตเวิร์ก ถ้ามีเรื่องราวที่คุณต้องการแบ่งปันกับกลุ่มเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง ก็ควรแบ่งเป็นกลุ่ม "friends" เพื่อจัดข้อมูลส่วนตัวที่คุณเลือกจะแชร์เฉพาะกับคนที่ไว้วางใจเท่านั้น



ลิงก์วิดีโอกลายเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายคนตกเป็นเหยื่อ
3. อย่าดาวน์โหลดไฟล์ อย่าคลิกลิงก์ต่างๆ ที่ไม่แน่ใจแหล่งที่ส่งมา เรื่องนี้ต้องจำกัดกรอบให้ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองซักหน่อย ถ้าไม่มั่นใจกับลิงก์แปลกๆ ก็อย่าไปสนใจคลิกมันเลย
4. ก่อนจะกรอกข้อมูลส่วนตัวควรตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่ใช่เพจปลอม เนื่องจากปัจจุบันอาชญากรออนไลน์ก็พยายามสร้างสรรค์วิธีลวงข้อมูลสำคัญจาก ผู้ใช้ที่ไม่ค่อยคำนึงถึงความปลอดภัย เพื่อมาหลอกเอายูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดของคุณ
5. เลือกใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายที่ปลอดภัย เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่าปล่อยใจไปกับเครือข่ายไว-ไฟฟรี ที่ไม่น่าเชื่อถือ และหากเป็นไปได้คุณควรหลีกเลี่ยงการใส่ล็อกอินและพาสเวิร์ดเมื่อต่อเชื่อม กับฮอตสปอต หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็ควรใช้พาสเวิร์ดเมื่อมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์เฉพาะเครือข่ายที่ไว้ใจได้เท่านั้น
6. หาโซลูชั่นปกป้องเครื่อง แม้ว่าคุณอาจแน่ใจว่าดีไวซ์ที่คุณใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นมีระบบป้องกันดี พอ แต่ก็ควรเลือกใช้โซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยมาเพิ่มเกราะป้องกันให้อุปกรณ์ของคุณด้วย


เช็กความปลอดภัยให้ชัวร์ เพื่อการใช้งานโซเชียลแบบไร้ความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม จากสถิติในปี 2556 พบว่าแฮกเกอร์ให้ความสนใจโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Kaspersky Security Network ระบุว่าแคสเปอร์สกี้ แลป สามารถสกัดจับการหลงเข้าฟิชชิ่งเพจ (เพจปลอม) ได้มากกว่า 600 ล้านครั้ง และกว่า 35% ของเพจเหล่านี้เลียนแบบโซเชียลเน็ตเวิร์กไซต์ ขณะเดียวกันการสำรวจยังพบว่า 40% ของยูสเซอร์เคยได้รับข้อความน่าสงสัยชักชวนให้คลิกเข้าลิงก์ต่างๆ หรือดาวน์โหลดไฟล์ และอีก 21% ยังระบุว่าเคยได้รับอีเมล์ที่อ้างว่าส่งมาจากโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อขอ ข้อมูลส่วนตัวอีกด้วย
นี่หมายถึงความเสี่ยงจากการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งจะแน่ใจได้แค่ไหน ว่าคุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง...?


ที่มา: thairath

          http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=597

Thai Thumb แฟลชไดร์ฟ 4 GB ฝีมือคนไทยผลิตจากพลาสติกย่อยสลายได้



บริษัท คอนเซปต์ ทรี จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Thai Thumb อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูล ขนาดบรรจุ 4 GB ผลิตจากพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ มีส่วนผสมของยางธรรมชาติ ดีไซน์โดยคนไทยและผลิตทุกอย่างในประเทศไทย


เป็นครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนที่ผลิตจากพลาสติกชีวภาพในเชิงพาณิชย์ มีส่วนผสมของยางพารา เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราได้ทางหนึ่ง ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรกรรม สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท คอนเซปต์ ทรี จำกัด www.concept-tree.net

ที่มา: flashfly
           http://www.advice.co.th/newsdetail.php?nid=630

วิวัฒนาการการเก็บข้อมูล


จากยุคเริ่มต้นในปี 1745 การเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เริ่มจากการใช้กระดาษเจาะรู (punch card) และมี วิวัฒนาการการเก็บข้อมูล พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจาก กระดาษเจาะรู เป็นเทปแม่เหล็ก ตลับเทป ฮาร์ดดิสก์ CD แผ่นดิสก์ SD card USB Drive และจนถึงปัจจุบัน ที่การเก็บข้อมูลลอยอยู่บนก้อนเมฆซะแล้ว ทีอนาคตว่ากันว่า จะเป็นยุคการเก็บข้อมูลแบบโอโลแกรมที่เก็บข้อมูล 1 TB ในพื้นที่เพียง 1 เซ็นติเมตรเท่านั้น จากหน่วย BYTE หรือ 8 bit ตอนนี้ก็เริ่มมีการพูดถึงหน่วย EXABYTE หรือ 1,000,000,000,000,000,000 bytes กันแล้ว มาดู infographics นี้กันว่า วิวัฒนาการของการเก็บข้อมูลจากยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง ?

evolution data storage มาดูวิวัฒนาการของการเก็บข้อมูลจากกระดาษเจาะรู สู่โฮโลแกรม [infographic]

ที่มา  http://iphone-drill.blogspot.com/2014/03/iphoneapptube-evad3rs-plus-6-more.html

ผุดแอพฯแก้โจทย์เลข เพียงใช้กล้องส่อง

ผุดแอพฯแก้โจทย์เลข เพียงใช้กล้องส่อง (มีคลิป)

เปิดตัวแอพ 'โฟโต้แมทฮ์' ช่วยแก้โจทย์เลขง่ายๆ เพียงใช้กล้องส่องไปที่โจทย์
         ลำพังเครื่องคิดเลขคงไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนอีกต่อไป เมื่อผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นอย่าง 'ไมโครบลิงค์' (MicroBLINK) ได้เปิดตัว 'โฟโต้แมทฮ์' (PhotoMath) แอพพลิเคชั่นช่วยแก้สมการเลขอย่างง่ายๆ เพียงแค่นำกล้องของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตไปส่องโจทย์แล้วรอเพียง 1-2 วินาที แอพพลิเคชั่นก็จะเฉลยคำตอบมาให้อย่างเสร็จสรรพ แถมยังแสดงวิธีทำโดยละเอียดมาให้ดูอีกด้วย
         
         ทั้งนี้แอพฯโฟโต้แมทฮ์รองรับการจับภาพเฉพาะตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เท่านั้น ซึ่งอาจจับภาพจากบนหนังสือเรียนหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่ยังไม่รองรับการแก้โจทย์ที่ถูกเขียนด้วยลายมือ

          แอพฯโฟโต้แมทฮ์เปิดให้ใช้อุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ iOS และ Windows Phone สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีแล้ว ส่วนผู้ใช้แอนดรอยด์ต้องรอกันไปจนถึงช่วงต้นปีค.ศ.2015

ที่มา : phonearena.com, bgr.com, youtube.com